posttoday

อุดช่องโหว่ ป.ป.ช. ขจัดคอร์รัปชั่น

04 ธันวาคม 2558

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 ได้วางกลไกตรวจสอบทุจริต “ข้าราชการและนักการเมือง” ผ่านองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. โดยมีเจตนารมณ์ให้ทำหน้าที่ป้องกัน ปราบปราม ตรวจสอบการทุจริตอย่างตรงไปตรงมา ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองทั้งในเชิงอำนาจและการเงิน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี 2540 ได้วางกลไกตรวจสอบทุจริต “ข้าราชการและนักการเมือง” ผ่านองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. โดยมีเจตนารมณ์ให้ทำหน้าที่ป้องกัน ปราบปราม ตรวจสอบการทุจริตอย่างตรงไปตรงมา ไม่ขึ้นกับฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ปราศจากการแทรกแซงทางการเมืองทั้งในเชิงอำนาจและการเงิน

เพื่อเป็นการประเมินผลว่าองค์กรอิสระสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทีดีอาร์ไอได้ศึกษาวิจัยในหัวข้อ “การประเมินองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการต่อต้านคอร์รัปชั่น” ในช่วงปี พ.ศ. 2552–2557 พบว่า ป.ป.ช.ยังไม่สามารถสร้างผลงานบรรลุเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญได้ เนื่องจากประสบกับปัญหาขาดความอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ และปัญหาด้านงบประมาณ ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินงานและการบริหารงานบุคคล อีกทั้ง ป.ป.ช.ยังขาดการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ในด้านการปฏิบัติหน้าที่ ป.ป.ช.ขาดความเป็นอิสระในการสืบสวนและเอาผิดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและข้าราชการระดับสูง เนื่องจากบทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารในการสรรหาผู้ที่จะเข้ามาเป็น ป.ป.ช. ทำให้ ป.ป.ช.อาจเกิดความเกรงใจที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบผู้มีส่วนเสนอชื่อหรือแต่งตั้งตนเป็นกรรมการ เพื่อแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญ ปี 2550 จึงปรับโครงสร้างกรรมการสรรหาใหม่ โดยปรับสัดส่วนและถ่วงอำนาจโดยฝ่ายตุลาการ จากเดิมมีสัดส่วนคณะกรรมการสรรหา 15 คน ได้แก่ ฝ่ายตุลาการ 3 คน ฝ่ายวิชาการ 7 คน และฝ่ายการเมือง 5 คน เหลือเพียงคณะกรรมการ 5 คน ประกอบด้วย ฝ่ายการเมือง 2 คน และฝ่ายตุลาการคงไว้เช่นเดิม เพื่อป้องกันการครอบงำโดยฝ่ายบริหาร

นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังต้องอาศัยการอนุมัติงบประมาณจากฝ่ายบริหารที่ ป.ป.ช.ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบ ประเด็นนี้ถือเป็นความลักลั่นอย่างหนึ่ง จึงทำให้ ป.ป.ช.ประสบปัญหาการขาดงบประมาณในช่วงที่รัฐบาลลดการสนับสนุนการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรจึงไม่เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2558 ที่มีจำนวนคดีคงเหลือค้างอยู่มากถึง 11,048 เรื่อง ส่งผลให้สำนักงาน ป.ป.ช. กลายเป็นองค์กรตรวจสอบที่ไม่เข้มแข็งตามบทบาท ไม่สามารถตรวจสอบฝ่ายบริหารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ขณะที่การบริหารงานบุคคล มีการให้ค่าตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ ไม่จูงใจบุคลากรที่มีศักยภาพให้อยู่กับองค์กร รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากไม่มีกฎหมายคุ้มครองกรณีถูกฟ้องร้องกลับจากผู้ถูกตรวจสอบ นอกจากนี้ โครงสร้างและการดำเนินงานขององค์กรยังมีความเป็นราชการ จึงทำให้ขาดความคล่องตัวในการดำเนินงาน

เมื่อไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ ป.ป.ช.จึงถูกมองว่าถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อขจัดนักการเมืองคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามมากกว่ารักษาผลประโยชน์ของประชาชน ดังนั้น ทีดีอาร์ไอจึงเสนอแนวทางการดำเนินงานของ ป.ป.ช.ให้มีความเป็นอิสระและเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่ โดยป้องกันการแทรกแซงกระบวนการสรรหา ด้วยการปรับสัดส่วนของคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช.ให้มีความหลากหลายในสาขาวิชาชีพ เพราะที่ผ่านมาถือว่ายังคงให้อำนาจแก่ฝ่ายตุลาการและพรรคการเมืองค่อนข้างมาก ซึ่งยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจ ภาคประชาสังคมแต่อย่างใด

อีกทั้งควรกำหนดค่าตอบแทนที่จูงใจในการดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพเข้ามาทำงาน ด้วยการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอตามการเสนอขอในแต่ละปี และการจัดสรรงบประมาณควรระบุแหล่งงบประมาณที่แน่นอนที่จะจัดสรรให้ ป.ป.ช.ไว้ในกฎหมาย เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเปิดโอกาสให้สื่อ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อลดภาระการตรวจสอบ-ป้องกันการทุจริตโดย ป.ป.ช. และยังได้สร้างทัศนคติในการต่อต้านคอร์รัปชั่นแก่ภาคส่วนต่างๆ แนวทางเหล่านี้จะเป็นปัจจัยช่วยให้เกิดการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาการขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทยยังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรมมากนัก เพราะการตรวจสอบเอาผิดในหลายคดีค่อนข้างล่าช้า เห็นได้จากคดีทุจริตที่อยู่ในความสนใจของสาธารณะจำนวนมากยังคงค้างอยู่ในชั้นศาล รวมถึงการตั้งคำถามของสังคมต่อจุดยืนของ ป.ป.ช.ในความเป็นกลางและความโปร่งใส

บทบาทของ ป.ป.ช.จึงยังคงถูกสังคมเฝ้ามองอยู่เสมอ โดยเฉพาะในช่วงที่ผ่านมา เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการสรรหา ป.ป.ช. มีมติเลือกบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการชุดใหม่ ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารราชการ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชี และด้านการตรวจสอบภายใน รวม 5 คน การทำงานของ ป.ป.ช.ชุดใหม่จึงถูกคาดหวังว่าจะเดินหน้าสะสางคดีค้างคาด้วยความเป็นอิสระจากการเมืองทั้งในเชิงของอำนาจและการเงิน

ขณะเดียวกัน รัฐควรจัดตั้งหน่วยงานเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของ ป.ป.ช.อีกขั้นหนึ่ง หรือ Cross Check เพราะในปัจจุบันมีเพียงสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณเท่านั้น เพื่อให้มีการติดตามการทำงานของ ป.ป.ช. และเสริมศักยภาพในการทำหน้าที่ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันอังคารที่ 16 ธ.ค. 68