กู้เงินแต่งงาน
ทำธุรกิจก็ต้องกู้เงินมาทำ พอจะแต่งงานผมก็ยังหนีไม่พ้นต้องกู้เงินมาแต่งงานอีก เนื่องจากเงินที่มีหมดไปกับการลงทุนทำโรงงาน
โดย...ซิวซี แซ่ตั้ง
ทำธุรกิจก็ต้องกู้เงินมาทำ พอจะแต่งงานผมก็ยังหนีไม่พ้นต้องกู้เงินมาแต่งงานอีก เนื่องจากเงินที่มีหมดไปกับการลงทุนทำโรงงาน แม้จะเหลืออยู่บ้างก็เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับกิจการ ไม่สามารถนำมาใช้เรื่องอื่นได้
ธุรกิจของผมใหญ่ขึ้น เงินทุนหมุนเวียนก็ต้องเพิ่มขึ้น คนภายนอกที่มองผมในตอนนี้คิดว่าผมรวยแล้ว เป็นถึงเจ้าของโรงงาน แต่แท้จริง ผมไม่มีเงินที่จะหยิบจับมาใช้สอย
ส่วนตัว มีแต่เงินหมุน ลูกหนี้รอการชำระ และเจ้าหนี้ที่ต้องชำระ ทางเดียวที่จะหาเงินมีเพียงการหยิบยืม ผมจึงต้องกู้เงินจากคนที่รู้จักกันดี จำนวน 1,200 บาท ซึ่งคิดดอกเบี้ยถูกมากเพียงร้อยละ 2 ต่อเดือน ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไปเกือบครึ่ง
ทางฝ่ายพ่อแม่ของชิวบ๊วยเรียกค่าสินสอด 1,200 บาท ในปี 2493 เป็นเงินมากพอสมควร นอกจากนั้นยังต้องเตรียมเงินอีก 10% ของค่าสินสอดมอบให้กับแม่สื่อด้วย เมื่อคิดเป็นตัวเงินออกมาอยู่ที่ 120 บาท ยังมีสินสอดทองหมั้นที่ต้องเตรียมให้กับเจ้าสาว ซึ่งผมหาทางประหยัดด้วยการไปขอยืมสร้อยคอทองคำจากพี่สาวคนที่ 3 ซึ่งมีอาชีพเป็นแม่ค้าเดินขายอาหารก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก
“ผมคงต้องขอยืมสร้อยพี่ไปให้ชิวบ๊วยใส่ในวันแต่งงาน แล้วจะคืนให้ทันทีหลังจากเสร็จงาน” ผมเอ่ยอย่างเกรงใจ
“ทำไมไม่ไปซื้อล่ะ” พี่สาวตอบแบบไม่ค่อยอยากให้ยืม
“ผมมีรายจ่ายหลายอย่าง กลัวว่าซื้อสร้อยแล้วจะไม่พอ”
พี่สาวนั่งนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน ผมเริ่มรู้สึกว่าไม่ควรสร้างความลำบากใจให้กับผู้เป็นพี่ ในเมื่อการแต่งงานเป็นเรื่องของผม ผมควรแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้ เมื่อเห็นพี่สาวนิ่งเฉยไม่พูดอะไร ผมเลยตัดสินใจพูดขึ้นว่า
“ถ้าพี่ลำบากใจผมไปซื้อเอาก็ได้” พูดจบผมก็หันหลังออกเดิน
แต่แล้วพี่สาวก็เรียกผมไว้เหมือนคิดได้ “เดี๋ยวสิซิวซี ไม่ต้องไปซื้อหรอกพี่ให้ยืม”
พี่สาวถอดสร้อยทองจากคอส่งให้ผม ผมยืนงงกับพี่สาวที่ตัดสินใจให้สร้อยกับผมอย่างง่ายดาย
“ยืนงงอยู่ได้ ตกลงจะเอามั้ย” ผมรีบยื่นมือไปรับ ก่อนจะยกมือไหว้ด้วยความซาบซึ้งใจ
สร้อยทองเส้นนั้นหนัก 1 บาท เป็นสร้อยที่พี่สาวใส่ติดตัวตลอด หลังจากรับมาแล้ว ผมรีบนำมาล้างขัดอย่างดีจนดูสวยงามเหมือนเพิ่งไปซื้อมา ทองเส้นนี้ผมนำมาใส่ให้เจ้าสาวในวันแต่งงาน
วันที่ 26 เดือน 2 พ.ศ. 2493 (ค.ศ. 1950) เป็นวันแต่งงานของผม แม้ผมไม่มีเงินมากมายพอที่จะจัดพิธีวิวาห์ใหญ่โตมีหน้ามีตาให้กับชิวบ๊วย แขกเหรื่อมาไม่มาก มีเพียงญาติทั้งสองฝ่ายรวม 11 คนด้วยกัน ซึ่งรวมถึงพี่สาวคนที่ 3 ที่ให้ยืมสร้อยทอง และพี่สาวคนที่ 4 มาร่วมงานด้วย
แต่ผมยังจำบรรยากาศคืนวันแห่งความสุขได้ดี ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตัวผมรู้สึกว่าหัวใจพองโตอย่างบอกไม่ถูก ใจเต้นแรงเมื่อต้องอยู่เคียงข้างชิวบ๊วยเข้าพิธี
พ่อครัวที่มาทำกับข้าวในงาน ทำอาหารได้อร่อยมาก ผมประทับใจควักเงินจ่ายค่าอาหารให้พ่อครัวต่อโต๊ะ 350 บาท แต่เขาไม่รับค่าแรงจากผม คงรู้ว่าผมไม่ค่อยมีเงิน ซาบซึ้งน้ำใจของเขากระทั่งทุกวันนี้
วันแต่งงานมีเรื่องที่ทำให้ผมประทับใจหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ทำให้ผมเสียใจน้อยใจมาก คือ เรื่องที่พี่ชายทั้งสองของผมไม่มาร่วมงานแต่งงานของผมกับชิวบ๊วย คงเพราะผมกับ
พี่ชายมีปากเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง พี่ชายกลัวว่าเมื่อผมแต่งงานมีลูกเมียต้องเลี้ยงดูจะไม่มีเงินส่งไปให้แม่และพี่ที่เมืองจีน แต่ผมยืนยันเสมอว่าแม้แต่งงานแล้วผมจะยังคงส่งเงินไปเมืองจีนแน่นอน ผมไม่ลืมแม่และพี่ที่เมืองจีนและในที่สุดผมก็ตัดสินใจแต่งงาน
ผมรู้ว่าพี่ชายไม่พอใจที่ผมไม่เชื่อที่เขาไม่อยากให้ผมแต่งงาน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าพี่ชายจะไม่มาร่วมงานสำคัญของน้องชาย ผมอุตส่าห์รอตั้งแต่ตอนเริ่มงานจนถึงทำพิธี จนท้ายสุดเมื่อถึงเวลาต้องกินเลี้ยง ผมยังบอกกับคนในงานว่า
“กรุณารอพี่ชายผมสักครู่”
จากบ่ายโมงจนบ่ายสองโมงครึ่ง พี่ชายทั้งสองของผมก็ยังไม่มา ผมเริ่มกระสับกระส่ายชะเง้อมองหา กระทั่งลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งของผมมากระซิบบอกว่า
“อย่ารออีกเลยซิวซี พี่ชายทั้งสองคงไม่มาแล้ว ให้แขกรอนานๆ แบบนี้ไม่ดีนะ เดี๋ยวเขาจะบ่นว่าเอาได้ เอาเป็นว่า กินเลี้ยงกันเลยดีกว่า”
ลูกพี่ลูกน้องของผมยังบ่นต่อว่า “พี่ชายทำไมไม่มา หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมพยักหน้า “หรือว่าเกิดอะไรไม่ดีจริงๆ ทำให้มาไม่ได้”
ผมอึดอัดใจไม่รู้จะพูดกับผู้ใหญ่ของฝ่ายชิวบ๊วยอย่างไร หากบอกว่าอาจเกิดเหตุร้ายกับพี่ชายก็ไม่ดี แต่ถ้าบอกว่าผมมีปัญหากับพี่ชาย เพราะพี่ชายไม่อยากให้ผมแต่งงานก็จะดูไม่ดีและจะทำให้พ่อแม่และญาติทางฝ่ายชิวบ๊วยไม่สบายใจ พวกเขาต้องมองพี่ชายผมในทางไม่ดี ซึ่งผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ผมเลยแอบนำเงินใส่ซองแล้วบอกกับคนอื่นว่า
“อาเฮียทั้งสองของผมติดธุระสำคัญมาไม่ได้ แต่ฝากเงินใส่ซองมาช่วยงานแล้ว”
ผมต้องแต่งเรื่องขึ้นอย่างกะทันหัน ทุกคนเลยไม่ติดใจ ผมโล่งอกที่แก้ปัญหาไปได้ และทุกอย่างราบรื่นจนจบงานแต่งงาน
ส่วนสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ที่ผมยืมพี่สาวมาให้ชิวบ๊วยใส่ในวันแต่งงาน ผมต้องรีบนำไปคืนให้พี่สาวหลังจากงานแต่งผ่านไปเพียง 10 วัน ชิวบ๊วยก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมได้คุยกับชิวบ๊วยไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะยืมมาให้ใส่ ส่วนเรื่องส่งเงินและของไปที่เมืองจีนผมก็ส่งตลอด


