พระยากัลยาณไมตรี อเมริกันชน ที่คนไทยไม่เคยลืม
คอลัมน์หมายเหตุสยาม สัปดาห์ก่อน พูดถึงพระยากัลยาณไมตรี
โดย...ส.สต
คอลัมน์หมายเหตุสยาม สัปดาห์ก่อน พูดถึงพระยากัลยาณไมตรี ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ (Dr.Francis Bowes Sayre) ว่าเป็นผู้ที่เจรจากับนานาประเทศให้แก้ไขสนธิสัญญาเบาว์ริ่งที่ทำให้ไทยเสียเอกราชทางศาล และจำกัดการเก็บภาษีอากร จนได้รับการปลดแอก หลังจากเป็นเรื่องหนักอกหนักใจไทยมา 70 ปี หรือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4
การที่สำเร็จได้ เพราะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงมีสายพระเนตรยาวไกลที่ให้ไทยเข้าร่วมทำสงครามกับพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1 จึงเป็นประเทศผู้ชนะร่วมกับชาติผู้นำในยุโรปที่กดขี่ไทยมาก่อน และได้ ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ มาเป็นที่ปรึกษาด้านการต่างประเทศตั้งแต่ พ.ศ. 2466
พระยากัลยาณไมตรี เกิดเมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2428 สหรัฐอเมริกา ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 29 มี.ค. 2515 เป็นอาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และเป็นบุตรเขยของวูดโรว์ วิลสัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
หลังจากเจรจาความสำเร็จได้ ความดีความชอบเป็นถึงพระยา ก็กลับประเทศสหรัฐอเมริกาบ้านเกิดใน พ.ศ. 2475 ได้รับตำแหน่งสำคัญๆ ทางการเมืองในสหรัฐอเมริกา เช่น เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศ เป็นข้าหลวงใหญ่สหรัฐอเมริกา ประจำประเทศฟิลิปปินส์ พ.ศ. 2482 เป็นผู้แทนของสหรัฐอเมริกา ประจำสหประชาชาติ และเป็นประธานคณะมนตรีภาวะทรัสตีแห่งสหประชาชาติ พร้อมๆ กันใน พ.ศ. 2490
สิ่งที่นักศึกษาไทยแสวงหากันมาก แต่ไม่พบ คือ ร่างเค้าโครงรัฐธรรมนูญฉบับของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในชื่อ “Outline of Preliminary Draft” ใน พ.ศ. 2469 ที่ท่านร่วมร่าง แต่ไม่ทันใช้เพราะเกิดการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 ขึ้นเสียก่อน
หลังจากไปมีชื่อเสียงในประเทศต่างๆ และคนไทยก็ไม่เคยลืม จึงได้รับเชิญมาเยือนไทยในโอกาสต่างๆ 2 ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. 2496 ครั้งที่ 2 เมื่อเดือน พ.ย. 2505 ประยุทธ สิทธิพันธ์ บรรยายไว้ในเรื่อง ดวงหน้ารัฐบุรุษ (หน้า 149) ในหัวเรื่อง พระยากัลยาณไมตรี ผู้พิชิตศาลกงสุลมหาอำนาจ ว่า ค่ำวันหนึ่ง เมื่อเดือน พ.ย. 2505 อาคันตุกะชาวต่างประเทศผู้หนึ่ง ก้าวลงมาจากเครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทยที่ท่าอากาศยานดอนเมือง อาคันตุกะผู้นี้พร้อมทั้งภรรยาได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้มีเกียรติ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่ไปรอรับอยู่เป็นจำนวนมาก
ท่านผู้นี้อาจเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผู้ที่เติบโตขึ้นมาภายในระยะ 40 ปีนี้ (2505) แต่สำหรับท่านผู้ใหญ่และบรรดานิสิตนักศึกษาทั้งหลายที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติไทยยุคปัจจุบัน ทุกคนย่อมจะมีความรู้สึกว่า ได้มีความคุ้นเคยกับนามของอาคันตุกะผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ในฐานะที่ท่านเป็นกำลังอันสำคัญในการริเริ่มบุกเบิกทางให้ประเทศไทยมีฐานะเท่าเทียมกับต่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิทางศาลและอำนาจเก็บภาษีอากรสินค้าขาเข้า และต่อมานามของท่านก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา
เมื่อใดก็ตาม ที่ได้มีการเอ่ยอ้างถึงความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา นามของอาคันตุกะผู้นี้ต้องได้รับการระลึกถึงเสมอ ท่านผู้นี้ก็คือ พระยากัลยาณไมตรี หรือ ดร.ฟรานซิส บี. แซร์ อดีตที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
การเดินทางมาครั้งนั้น เพื่อวางศิลาฤกษ์การสร้างอาคาร “กัลยาณไมตรี” ที่โรงเรียนสงขลาวัฒนา ของมูลนิธิพนมชนารักษ์อนุสรณ์ จ.สงขลา
เกียรติ ธนะกุล รองประธานมูลนิธิพนมชนารักษ์อนุสรณ์ กล่าวคำต้อนรับว่า “นับแต่วาระที่ท่านได้ย่างเท้าลงบนผืนแผ่นดินนี้ หัวใจและวิญญาณของประชาชนชาวไทย ไม่ว่าจะอยู่ทางเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก ได้เต็มตื้นไปด้วยความอบอุ่นและยินดี ทั้งนี้ เพราะบุคคลที่เคยช่วยเราให้ได้รับเอกราชสมบูรณ์นั้น ได้มารวมกับเราอีกวาระหนึ่งแล้วในวันนี้ การมาของท่านคงจะได้นำความปรีดาปราโมทย์มาสู่องค์พระมหากษัตริย์และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทั้งได้นำสันถวไมตรีมาสู่รัฐบาลของเราด้วย”“ท่านเจ้าคุณและคุณหญิง ใบไม้นั้นอาจเหี่ยวแห้งไป ดอกไม้อาจเฉาไป และเวลาอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่ความกตัญญูกตเวทีอันดื่มด่ำในตัวท่าน จักไม่มีวันลบเลือนไปจากชาวเราได้เลย”
คำกล่าวต้อนรับทำให้ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงถึงกับน้ำตาคลอ ท่านได้กล่าวตอบท่ามกลางคนไทยที่ไปรอรับอยู่ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ว่า “ข้าพเจ้ามีความสุขอย่างเหลือเกินที่ได้มาเห็นเมืองไทย เห็นคนไทยและประชาชนที่นี่ เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อาจลืมได้ชั่วชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารักคนไทยอย่างยิ่ง และรักที่จะกลับมาเมืองไทยอีกครั้งหนึ่งซึ่งก็สมปรารถนา”
นี่คือเกียรติประวัติอเมริกันชน ที่คนไทยไม่เคยลืม


