posttoday

เอกชนมะกันบาดเจ็บ เฟดสวนทางสงครามค่าเงิน

29 ตุลาคม 2558

โดย...ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

โดย...ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

ตลอดทั้งเดือน ต.ค.นี้ สปอตไลต์ฉายไปที่ธนาคารกลางทั่วโลกที่เริ่มขยับตัว ทั้งการขยับตัวผ่อนคลายนโยบายทางการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการขยับตัวไปในทิศทางตรงกันข้าม

ธนาคารกลางที่เริ่มเคลื่อนไหวก่อนเพื่อน คือ ธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่ส่งสัญญาณขยายมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) หลังอัตราเงินเฟ้อลดลงไปต่ำกว่า 0% เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะตามมาด้วยธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% และอัตราทุนสำรองธนาคารพาณิชย์ (อาร์อาร์อาร์) อีก 0.50%

ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เอง ซึ่งมีกำหนดการประชุมในปลายเดือน ต.ค.นี้ ก็เดินหน้ามาตรการซื้อคืนพันธบัตรมาแล้วมากกว่า 2 ปีครึ่ง โดยการซื้อคืนพันธบัตรในช่วงไตรมาส 2 มูลค่าเฉลี่ยที่ 9 ล้านล้านเยน และไตรมาส 3 อีก 9.3 ล้านล้านเยน ซึ่งหมายความว่า บีโอเจจะต้องเร่งซื้อคืนพันธบัตรเพิ่มขึ้นอีกเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ 80 ล้านล้านเยน

มาตรการต่างๆ ของธนาคารกลางดังที่กล่าวข้างต้นเป็นไปในทิศทางการใช้นโยบายทางการเงินแบบ “ผ่อนคลาย” และผลที่ตามมาคือ เงินไหลเข้าระบบจำนวนมาก และทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง เพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการค้าการส่งออกได้ดีทีเดียว

แต่ยังมีอีกธนาคารกลางหนึ่งที่มุ่งหน้าไปสู่ทิศทางตรงกันข้าม นั่นคือ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ให้สัญญาณการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปี เมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐเข้มแข็งเพียงพอแล้ว หลังใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำมานานเพราะพิษของวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์

เศรษฐกิจสหรัฐไตรมาส 2 ที่ผ่านมา โต 3.9% มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% และเป็นไตรมาสที่โตที่สุดเมื่อเทียบกับ 3 ไตรมาสก่อนๆ จากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.6% และการลงทุนภาคธุรกิจที่ปรับขึ้น 4.1% รวมถึงการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 5.1% อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดไม่ได้ปูด้วยพรมแดงอย่างที่คาดการณ์ไว้ โดยในเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา เฟดยังไม่ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากกังวลต่อเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง จะกระทบกับเศรษฐกิจสหรัฐในท้ายที่สุด

แน่นอนว่า เศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ธนาคารกลางต่างงัดมาตรการ “ผ่อนคลาย” ออกมาใช้ดังที่กล่าวเอาไว้ข้างต้น แต่แทนที่การกระตุ้นเศรษฐกิจโลกให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้นจะลบปัจจัยที่เฟดกังวล กลับยิ่งเป็นการเพิ่มภาระหนักอึ้งให้แก่ภาคเอกชนของสหรัฐแทน ซึ่งในท้ายที่สุดจะกระทบกับเศรษฐกิจของสหรัฐเอง

แม้ผลประกอบการบริษัทเทคโนโลยีเรียกได้ว่ากำลังรุ่ง โดยผลกำไรในไตรมาส 3 ของไมโครซอฟท์ กูเกิล และอเมซอน ทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นรวมกันมากกว่า 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.8 ล้านล้านบาท) ในขณะที่แอปเปิ้ลก็กำลังไปได้สวย ยอดขายสินค้าเพิ่มถึง 22%

ทว่า จากข้อมูลของสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า ในไตรมาส 3 ผลกำไรและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลงถึง 1 ใน 3 โดยการปรับลดดังกล่าวอยู่ที่ราว 2.8% ของหุ้นในแต่ละบริษัทจดทะเบียนเมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือเป็นการปรับลดเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี

บริษัทที่ได้รับผลกระทบหนักคือบริษัทภาคการผลิตจนกระทั่งต้องปรับลดคนงาน เช่น สามเอ็ม (3M) บริษัทผู้ผลิตวัสดุประกาศปรับลดคนงานออก 1,500 ตำแหน่ง หรือแคทเตอร์พิลลาร์ อิงค์ ผู้ผลิตเครื่องจักรกลหนักรายใหญ่ของโลกเองก็ปรับลดคาดการณ์กำไรในปี 2015 นี้ และปรับลดคนงานอีก 1 หมื่นคน หลังความต้องการเครื่องจักรปรับตัวลง

นอกจากนี้ การจ้างงานตำแหน่งที่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ รวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงมายังสะท้อนให้เห็นถึงความย่ำแย่ที่เกิดขึ้นในภาคเอกชนของสหรัฐอีกด้วย

สำหรับการจ้างงานในเดือน ก.ย. ปรับขึ้น 1.42 แสนตำแหน่งงานใหม่ หลังจาก 1.73 แสนตำแหน่งในเดือน ส.ค.น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะปรับขึ้น 2-2.5 แสนตำแหน่งทั้งสองเดือน รวมถึงดัชนีความ
เชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐยังปรับลงมาอยู่ที่ 97.6 จุดในเดือน ต.ค. จาก 102.6 จุด ซึ่งสูงสุดในรอบ 9 เดือนเมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมาอีกด้วย

ปัจจัยหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระทบต่อภาคเอกชนของสหรัฐ คือการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐหลังเฟดส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้มาโดยตลอด ประกอบกับการงัดมาตรการ “ผ่อนคลาย” ของธนาคารกลางอื่นๆ ทั่วโลกยิ่งทำให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่เหรียญสหรัฐที่มีผลตอบแทนมากกว่ามากยิ่งขึ้นไปอีก

สำหรับค่าเงินยูโรอ่อนค่าอยู่ที่ราว 1.08-1.17 เหรียญสหรัฐ/ยูโร นับตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับหลังการประกาศใช้มาตรการคิวอีของอีซีบีเมื่อเดือน ม.ค. อยู่ที่ราว 1.16 เหรียญสหรัฐ/ยูโร

ในขณะที่ค่าเงินเยนนับตั้งแต่เดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ซื้อขายอยู่ที่ราว 120 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับ 114.30 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อ 5 พ.ย. 2014 หลังญี่ปุ่นประกาศเพิ่มมาตรการซื้อคืนพันธบัตรเมื่อสิ้นเดือน ต.ค. 2014 จาก 70 ล้านล้านเยน เป็น 80 ล้านล้านเยน

นอกจากนี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้นดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น เนื่องจากช่วงดังกล่าวยังอยู่ในช่วงที่เฟดแค่ส่งสัญญาณจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น โดยแค่เพียงการส่งสัญญาณอย่างเดียวก็ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นจนเริ่มกระทบกับผลกำไรของเอกชนแล้ว หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง การลงทุนจะยิ่งไหลกลับเข้าสู่สหรัฐให้ค่าเงินแข็งค่ามากยิ่งขึ้น

เห็นได้จากแค่เพียงก่อนการประชุมในเดือน ต.ค. ที่นักวิเคราะห์ต่างพากันลงความเห็นว่าเฟดไม่มีทางขึ้นดอกเบี้ยแน่ ดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐยังแข็งค่าขึ้นไปซื้อขายสูงสุดในรอบ 2 เดือนครึ่งเลยทีเดียว เมื่อเทียบค่าเงินหลัก 6 สกุลหลัก เพราะนักลงทุนยังเชื่อว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในท้ายที่สุดอย่างแน่นอน

ศึกของธนาคารกลางยังคงดำเนินต่อไป และสปอตไลต์จะส่องกลับไปที่ธนาคารกลางอีกครั้งในเดือน ธ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยนักวิเคราะห์ต่างคาดการณ์ว่า อีซีบีจะประกาศเพิ่มคิวอีและบีโอเจจะผ่อนคลายเพิ่ม ในขณะที่เฟดเองก็ยังมีการประชุมอีกนัดสุดท้ายสำหรับปีนี้

เรียกได้ว่าความเคลื่อนไหวใหญ่อีกครั้งกำลังรอส่งท้ายปี โดยมีเศรษฐกิจของแต่ละประเทศและเศรษฐกิจโลกเป็นเดิมพัน

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง