ถูกไล่เหมือนหมูหมา
เมื่อ 60 ปีที่แล้วนั้น เงินหมื่นเป็นเงินจำนวนมาก คนจะเป็นเท้าแชร์ตั้งแชร์ขนาดนี้ได้ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีเครดิตพอสมควร เพราะต้องรับผิดชอบเงินของคนตั้ง 20 คน หากคนใดมีปัญหา เท้าแชร์ต้องสามารถชดใช้ให้เขาได้ด้วย พูดง่ายๆ คือ เขาไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อเครดิตผม คิดว่าเล่นแชร์แล้วผมอาจเชิดเงินหนีหายไปเลยก็ได้ และคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะลุกหนีผมไปดื้อๆ คือ
เมื่อ 60 ปีที่แล้วนั้น เงินหมื่นเป็นเงินจำนวนมาก คนจะเป็นเท้าแชร์ตั้งแชร์ขนาดนี้ได้ต้องมีความน่าเชื่อถือ มีเครดิตพอสมควร เพราะต้องรับผิดชอบเงินของคนตั้ง 20 คน หากคนใดมีปัญหา เท้าแชร์ต้องสามารถชดใช้ให้เขาได้ด้วย พูดง่ายๆ คือ เขาไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อเครดิตผม คิดว่าเล่นแชร์แล้วผมอาจเชิดเงินหนีหายไปเลยก็ได้ และคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่เขาจะลุกหนีผมไปดื้อๆ คือ
“อย่าหาว่าพี่ดูถูกเลยนะ อย่างน้องน่ะแค่มีคนยอมให้เล่นแชร์ก็หายากแล้ว เรื่องจะเป็นเท้าแชร์พี่ว่ายิ่งยาก!”
คำพูดของญาติคนนี้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างยิ่ง และผมถึงกับน้ำตาซึม เดินคอตกกลับบ้านพัก
จริงอยู่...ที่เขาพูดว่าผมเป็นคนจีนโพ้นทะเลที่เพิ่งเดินทางมาเมืองไทย ไม่มีอะไรน่าเชื่อถือ แต่เขาควรคิดถึงสายสัมพันธ์ ความเป็นญาติ ความเป็นคนจีนเหมือนกัน คนจีนที่ข้ามน้ำข้ามทะเล หนีความยากลำบากมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทยเหมือนกัน ชาวจีนด้วยกันรู้กันดีว่าที่พวกเราทำการค้าต่างๆ ได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็ด้วยการช่วยเหลือกันและกัน โดยเฉพาะจากคนแซ่เดียวกันที่จะไม่ทอดทิ้งกันเด็ดขาด ยังนึกไปว่าถ้าสมัยที่พวกเขามาจากเมืองจีน หากไม่มีใครเชื่อถือและให้โอกาสพวกเขาจะรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างไร
เขาเป็นเจ้าของธุรกิจร่ำรวยแล้ว คงลืมจุดเริ่มต้นที่เคยเป็นอย่างผมไปหมด นอกจากจะไม่มีน้ำใจช่วย ยังพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจอีกด้วย
คำพูดของเขาทำให้ผมสะเทือนใจอย่างรุนแรง ในหมู่คนจีนด้วยกันนั้น การถูกปฏิเสธจากคนตระกูลเดียวกันถือเป็นเรื่องร้ายแรง สร้างความรู้สึกย่ำแย่อย่างมาก ทำให้ผมแทบหมดพลังที่จะคิดดิ้นรนไปเลย
เวลานั้นผมรู้สึกสิ้นหวัง เหมือนถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว คิดมากว่าขนาดญาติแซ่เดียวกันแท้ๆ ยังไม่ไว้ใจช่วยเหลือกัน แล้วใครล่ะจะช่วย ผมเซซังกลับมาถึงที่พัก ก็เข้าห้องปิดประตูขังตัวเอง
นอนคิดถึงคำพูดของญาติ หากเป็นคนอื่นพูดผมคงไม่รู้สึกเจ็บเท่านี้ ผมทั้งผิดหวัง เสียใจ ถึงขนาดนอนร้องไห้อยู่นานกว่า 2 ชั่วโมง ในใจผมสับสนไม่น้อย บางครั้งก็อยากล้มเลิกความคิดเรื่องหาเงินลงทุนทำธุรกิจไปเลย ตั้งหน้าทำงานเป็นกุลีแบกหามไปเรื่อยๆ แต่แล้วก็ทำใจไม่ได้ เกิดฮึดสู้ขึ้นมาอีก บอกตัวเองว่าจะไม่ยอมแพ้ต้องดิ้นรนให้ได้ อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทย จะมายอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร
ผมลุกขึ้นมาตอนเที่ยงกว่าๆ นึกถึงญาติอีกคนหนึ่ง ญาติคนนี้อยู่ใน “รุ่นที่ 19” ซึ่งถือเป็นรุ่นถัดจากผมไปอีกรุ่นหนึ่ง เพราะตัวผมอยู่ในรุ่นที่ 18 ดังนั้นเมื่อสืบสายความสัมพันธ์กันแล้วเราค่อนข้างแนบแน่นกันมาก ผมคาดหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือ และไม่เข็ดกับเรื่องที่คิดจะไปพึ่งพาญาติ เพราะถึงแม้จะผิดหวังจากญาติในครั้งแรก แต่ผมคิดว่า “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ...” อย่างไรเสียญาติกันก็ต้องดีกว่าคนอื่น
ดังนั้น ผมจึงมุ่งหน้าไปปรึกษาเรื่องตั้งแชร์กับพี่น้องแซ่เดียวกับผมอีกครั้ง แต่ผมก็คิดผิด ผิดหวังซ้ำอีกครั้ง ญาติของผมทำให้ผมผิดหวังเสียใจอีกครั้ง คราวนี้หนักกว่าครั้งแรก ผมโดนดูถูกและเหยียดหยามราวกับเป็นสิ่งสกปรกโสโครก
ผมยังจำภาพวันที่ไปหาญาติรุ่นที่ 19 ของผมได้ดี เขาเป็นเจ้าของโรงงานฟอกหนังขนาดใหญ่ มีคนงานทำงานจำนวนมาก ฐานะร่ำรวยและมั่นคง วันนั้นผมเดินทางไปพบด้วยความหวังเต็มเปี่ยม เดินผ่านประตูโรงงานเข้าไปในตัวตึก เห็นพวกเขา 3 พี่น้องกำลังกินข้าวกันอยู่ ผมไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะจึงนั่งรอจนพวกเขากินเสร็จจึงเข้าไปหา
ทันทีที่พบหน้า ผมยิ้มให้ด้วยความดีใจ แต่พวกเขานั่งมองผมนิ่งเหมือนเห็นตัวประหลาด สัมผัสได้ถึงความหมางเมิน ผมพยายามชวนคุย
“พวกพี่กินข้าวเสร็จแล้วหรือ”
“กินแล้ว”
เขาตอบห้วนๆ
“มีอะไรหรือ”
“ผมไม่ได้มารบกวนอะไร แค่อยากมาชวนพี่เล่นแชร์”
หนึ่งในสามคนลุกขึ้นทันที ใช้มือกวาดโดยทำมือสองมือแบชิดติดกันแล้วทำเหมือนกำลังช้อนสิ่งสกปรกให้ออกห่างจากตัว แล้วพูดว่า
“ลื้อเหม็นที่สุด!”
ทำท่าแล้วพูดแบบเดียวกันถึง 3 ครั้ง ผมยืนเซ่อทำอะไรไม่ถูก สองคนที่เหลือพูดขึ้นบ้าง
“ยังไม่ไสหัวไปอีก หรือจะให้คนงานมาลากตัวออกไป หา!”
ผมรู้สึกโกรธจนทนไม่ไหว พูดสวนออกไปบ้าง
“ผมไม่ได้เหม็นนะ พี่ 3 คนไม่ช่วย ผมไปหาที่อื่นได้ ไม่ต้องมาไล่ผม แสดงท่ารังเกียจกันขนาดนี้”
“เฮ้ยๆ ใครก็ได้มาไล่มันไปให้ไกลๆ เหม็นเหลือเกิน เหม็นที่สุด คราวหน้าคราวหลังอย่าให้เข้ามาอีก”
คำพูดของเขาเหมือนคมมีดที่บาดลึกลงไปในจิตใจของผมอย่างรุนแรง ในใจเกิดคำถามว่า ทำไมต้องรังเกียจดูถูกผมถึงเพียงนี้ ผมไม่ได้มาขอทานหรือขอเงินพวกเขา แค่เพียงมาชวนให้ช่วยเล่นแชร์ กลับถูกด่าถูกไล่เหมือนหมูเหมือนหมา


