บิณฑบาตทางเรือสบายใจ ได้บรรยากาศ
ผู้เขียนเห็นภาพปกหลังหนังสืออนุสรณ์ครบรอบ 52 ปี (21 ก.พ. 2546) โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นภาพพระภิกษุ 2 รูป
โดย...ส.สต
ผู้เขียนเห็นภาพปกหลังหนังสืออนุสรณ์ครบรอบ 52 ปี (21 ก.พ. 2546) โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นภาพพระภิกษุ 2 รูป พายเรือบิณฑบาต ทำให้รำลึกถึงอดีตที่บ้านเมืองยังมีน้ำเต็มแม่น้ำลำคลอง โดยเฉพาะต่างจังหวัดในภาคกลางจะเห็นพระสงฆ์ในวัดต่างๆ ส่วนมากตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำพายเรือออกบิณฑบาตกันเป็นประจำ เพราะบ้านญาติโยมส่วนมากก็ตั้งอยู่ริมน้ำเช่นกัน
เรือที่พระใช้พายบิณฑบาตในจังหวัดภาคกลาง เท่าที่จำได้จะมีทั้งเรืออีแปะ และเรือบด
เรืออีแปะ เป็นที่นิยมกันมาก ลำไม่ใหญ่ ใช้ประโยชน์ได้ดี นั่งพายทั้งหัวเรือ และท้ายเรือโดยเฉพาะเมื่อใช้พายออกบิณฑบาต พระหรือลูกศิษย์ที่นั่งหัวเรือจะเป็นคนคอยจัดให้เรือเทียบท่าเรียบร้อย โดยไม่ชนตลิ่งหรือท่าน้ำ เพื่อรับบิณฑบาตจากโยม เมื่อโยมตักบาตรก็จะใส่กับข้าวด้วย โดยมากเป็นแกงต่างๆ ผู้ที่นั่งหัวเรือก็รับมาถ่ายใส่ถ้วยที่เตรียมไป จากนั้นก็เบนหัวเรือออกโดยไม่ต้องสวดยถา สัพพีฯ เหมือนสมัยนี้ แต่จะไปสวดยถา สัพพีฯ ที่วัดหลังจากฉันอาหารแล้ว
เรือบด เป็นเรืออีกประเภทหนึ่งที่พระนิยมใช้พายบิณฑบาต เรือนี้เพรียวลม ขนาดเล็ก นั่งได้คนเดียว หากพายเก่งจะแล่นฉิวน่าดูนักเมื่ออยู่ในกระแสน้ำยามเช้า แดดอ่อนๆ น้ำใสไหลเอื่อยๆ ไม่มีมลพิษ เรือบดรับน้ำหนักได้จำกัด ผู้ที่จะพายเรือนี้ต้องเป็นลูกแม่น้ำ มีความชำนาญจริงๆ ทั้งเวลาขึ้น เวลาลง และเมื่อโต้คลื่น เพราะเป็นเรือที่เล็กมาก ถ้าทรงตัวไม่ดีก็ล่มง่ายๆ จนกระทั่งกล่าวกันว่าอีกาจับยังล่ม
เมื่อพระนำมาใช้เป็นยานพาหนะออกบิณฑบาต วางบาตรที่หัวเรือ พร้อมถ้วยแกงเพื่อถ่ายแกงที่โยมถวาย ซึ่งมีเพียงถาดเดียว เมื่อจอดเรือต้องระวังอย่างยิ่ง เช่น ตอนรับบาตร จะไม่ยกพายพ้นน้ำ แต่ใช้ประคองไม่ให้เรือล่ม เมื่อกลับวัดจะก้าวขึ้น ต้องทำตัวเบาๆ อย่าเกร็ง มิเช่นนั้นเรือล่มเมื่อจอด
สมัยที่เรือแท็กซี่เข้ามามีบทบาทในการขนส่งทางน้ำ เมื่อแล่นผ่านเรือพระบิณฑบาต คนขับเรือมักชะลอเรือ ไม่ให้คลื่นไปล่มเรือพระ ในขณะที่พระก็ต้องรู้วิธีโต้คลื่น ซึ่งเรือแท็กซี่เหล่านี้มีบริการในแม่น้ำทั่วไป ก่อนที่จะมีเรือหางยาว (เรือหางยางมีหลัง พ.ศ. 2500 แหล่งผลิตเครื่องเรือหางยาวแห่งหนึ่งอยู่ย่านถนนบุรีรมย์และถนนวรจักร ข้างๆ วัดพระพิเรนทร์ แต่ปัจจุบันเปลี่ยนกิจการเป็นอย่างอื่นไปแล้ว)
เช้าวันหนึ่ง 20 ปีมาแล้ว ผู้เขียนเคยนั่งเรือในคลองแสนแสบ ผ่านวัดพระยายัง เคยเห็นพระรูปหนึ่งพายเรือบิณฑบาต พยายามโต้คลื่นเรือโดยสารอย่างน่าเห็นใจ เพราะคลื่นแรงแม้คนขับจะพยายามชะลอแล้วก็ตาม
ปัจจุบันน้ำในแม่น้ำลำคลองเหลือติดก้นคลอง ไม่สะดวกในการใช้เรือ ในขณะที่การเดินบิณฑบาตตามถนนสะดวกกว่า เพราะผู้คนปลูกบ้านหันหน้าออกถนน เทียบกับสมัยก่อนที่หันหน้าออกแม่น้ำ เช่นเดียวกับวัดที่หันหน้าวัดออกถนนแทนที่จะหันหน้าลงแม่น้ำเหมือนแต่ก่อน
การที่วัดเปลี่ยนทิศทางหน้าวัดจากแม่น้ำสู่ถนน ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่คือการสร้างซุ้มประตูวัดเพื่อบอกที่ตั้งวัด พร้อมทั้งแสดงศิลปะต่างๆ ที่ซุ้มประตูอีกด้วย เมื่อเทียบกับอดีตที่การคมนาคมใช้แม่น้ำลำคลอง วัดทั่วๆ ไปจะสร้างศาลาท่าน้ำ เพื่อความสะดวกในการนั่งคอยเรือ นั่งพักก่อนลงอาบน้ำ ศาลาท่าน้ำของวัดทั้งขนาดเล็กและใหญ่ แฝงไว้ด้วยศิลปะที่โดดเด่น เพื่ออวดผู้ที่สัญจรไปมาทางน้ำด้วย
น่าเสียดายศาลาท่าน้ำ ที่เป็นสัญลักษณ์พิเศษทางวัฒนธรรมได้เลือนหายไป เช่นเดียวกับน้ำในลำคลองเช่นกัน
ในเมื่อการบิณฑบาตเป็นกิจของสงฆ์ การบิณฑ บาตก็พัฒนา นอกจากเดินโปรดสัตว์แล้ว บางวัดให้ลูกศิษย์ขับรถมารับบิณฑบาตในตลาด (ต่างจังหวัด) ไม่มีใครว่า
แต่บางรูปไม่มีลูกศิษย์จึงขับรถมาเอง จอดรถแล้วเดินบิณฑบาตโปรดญาติโยม กลายเป็นข่าวเพราะสังคมไม่ยอมรับพระขับรถ
โถ...เมื่อมีแม่น้ำเป็นทางสัญจร พระยังพายเรือบิณฑบาตได้ แล้วไฉนเมื่อมีถนนมีรถ จึงขับรถบิณฑบาตไม่ได้?


