ร่องรอยของน้ำบนดาวอังคาร
นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่าเปิดเผยข้อมูลยืนยันสิ่งที่พบมานานว่าร่องรอยที่ปรากฏบนพื้นผิวหลายแห่งของดาวอังคาร
โดย...วรเชษฐ์ บุญปลอด
นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่าเปิดเผยข้อมูลยืนยันสิ่งที่พบมานานว่าร่องรอยที่ปรากฏบนพื้นผิวหลายแห่งของดาวอังคารน่าจะเกิดจากการไหลของน้ำในยุคปัจจุบัน แต่แหล่งน้ำบนดาวอังคารไม่ได้อยู่ในรูปของบ่อน้ำ ทะเล หรือลำคลอง เป็นเพียงน้ำที่อยู่บนพื้นผิวเพียงชั่วครั้งชั่วคราวตามการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล
แม้ว่าบนดาวอังคารจะไม่มีต้นไม้ ไม่มีฝน อากาศไม่มีช่วงที่เรียกว่าร้อนได้เมื่อเทียบกับโลก แต่การที่แกนหมุนของดาวอังคารทำมุมเอียงประมาณ 25 องศา เมื่อเทียบกับแนวตั้งฉากกับระนาบวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ นักดาราศาสตร์ก็ถือว่าดาวอังคารมีฤดูกาลแบ่งเป็น 4 ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ ทำนองเดียวกับฤดูกาลบนโลก โดยเห็นได้ชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงของขนาดพื้นที่ซึ่งเป็นขั้วน้ำแข็งทั้งสองขั้วตามฤดูกาล
ก่อนยุคของการสำรวจด้วยยานอวกาศ นักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์ส่องดูดาวอังคารพบว่ามีรอยที่ดูเหมือนสาขาของคลองพาดยาวไปมาบนพื้นผิวดาวอังคาร จึงมีความคิดว่าอาจมีระบบคลองส่งน้ำจากน้ำแข็งที่ละลายจากขั้วดาวอังคารไปยังส่วนต่างๆ ในละติจูดต่ำลงมา และมีแนวคิดแพร่หลายเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคาร ดังจะเห็นได้จากนิยายวิทยาศาสตร์หลายเรื่องในอดีตที่เล่าถึงมนุษย์ดาวอังคาร
การสำรวจด้วยยานไวกิ้งเมื่อปี 2519 แสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมบนดาวอังคารหนาวเย็น แห้งแล้ง ปราศจากสัญญาณของสิ่งมีชีวิต ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาบนดาวแดงดวงนี้พังทลายลง อย่างไรก็ตาม ดาวอังคารยังคงเป็นดาวเคราะห์ดวงสำคัญอันดับต้นๆ ในการสำรวจด้วยยานอวกาศ มียานอวกาศจำนวนมากที่ถูกส่งไปสำรวจดาวอังคาร ทั้งแบบที่ไปลงบนพื้นผิวและแบบที่ไปโคจรรอบดาวอังคาร
สิ่งที่นาซ่าแถลงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นการยืนยันด้วยหลักฐานภาพถ่ายและการศึกษาสเปกตรัมของพื้นผิวดาวอังคารด้วยอุปกรณ์บนยานมาร์สรีคอนเนสเซนส์ออร์บิเตอร์ หรือเอ็มอาร์โอ (Mars Reconnaissance Orbiter:MRO) นำโดย ลูเจนทรา โอจา นักดาราศาสตร์ชาวเนปาล-อเมริกัน จากสถาบันเทคโนโลยีจอร์เจีย
ภาพถ่ายความละเอียดสูงของพื้นผิวดาวอังคารจากยานมาร์สรีคอนเนสเซนส์ออร์บิเตอร์แสดงให้เห็นว่ามีโครงสร้างแนวเส้นมืดคล้ำหลายเส้นอยู่ตามพื้นที่ลาดชัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามผนังด้านในของหลุมอุกกาบาต ร่องรอยเหล่านี้ก่อตัวยาวหลายเมตรในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิถึงต้นฤดูร้อน เมื่ออุณหภูมิประมาณ 250-300 เคลวิน แล้วจางลงเมื่ออุณหภูมิต่ำลง ก่อนจะกลับมาใหม่เมื่ออากาศอุ่นขึ้นในปีถัดไป แสดงว่ามีกระบวนการบางอย่างที่ทำให้โครงสร้างนี้เกิดซ้ำเป็นวัฏจักร ซึ่งดูคล้ายการไหลของของเหลวบางอย่างจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
ด้วยอุณหภูมิต่ำราว 250 เคลวิน หรือ -23 องศาเซลเซียส พื้นที่เหล่านี้หนาวเย็นเกินไปและมีความดันบรรยากาศต่ำเกินไปที่จะเกิดการไหลของน้ำในสถานะของเหลว จึงมีสมมติฐานว่าอาจเกิดจากน้ำผสมเกลือ เนื่องจากเกลือทำให้จุดเยือกแข็งของน้ำต่ำลง ก่อนหน้านี้ นักวิทยาศาสตร์ไม่พบสัญญาณที่เด่นชัดของน้ำในสถานะของเหลวหรือน้ำผสมเกลือบนดาวอังคาร
โอจาและคณะได้ศึกษาสเปกตรัมโดยเจาะจงภายในบริเวณแคบๆ ตามร่องรอยเหล่านี้ซึ่งปรากฏ ณ พื้นที่ต่างๆ ในหลุมอุกกาบาต 4 หลุม พบว่าแต่ละแห่งมีสเปกตรัมตรงกัน ซึ่งเป็นสเปกตรัมของเปอร์คลอเรตและคลอเรต ซึ่งเป็นเกลือชนิดหนึ่งที่ละลายอยู่ในน้ำ (สังเกตว่านักวิทยาศาสตร์ไม่ได้พบสเปกตรัมของน้ำโดยตรง) คาดว่าน่าจะเป็นพวกแมกนีเซียมเปอร์คลอเรต แมกนีเซียมคลอเรต และโซเดียมเปอร์คลอเรต
ก่อนหน้านี้ยานฟีนิกซ์ตรวจพบเปอร์คลอเรตที่จุดลงจอดของยานบริเวณละติจูดสูงใกล้ขั้วดาว ยานลงจอดอื่นๆ ก็พบข้อมูลสนับสนุนความเป็นไปได้ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าร่องรอยดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อน้ำระเหยไป คงเหลือเปอร์คลอเรตที่สะสมกันจนเกิดเป็นรอยมืดคล้ำ ก่อนจะจางลง
ยังไม่แน่ชัดว่าน้ำมาจากไหนหรือก่อตัวขึ้นได้อย่างไร มีสมมติฐานว่าน้ำอาจซึมขึ้นมาจากน้ำแข็งที่อยู่ใต้ผิวดินของดาวอังคาร หรือมาจากบรรยากาศของดาวอังคาร อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลว่ามีไอน้ำในบรรยากาศของดาวอังคารมากพอที่จะเป็นแหล่งกำเนิดของน้ำบนผิวดินได้หรือไม่ แม้ว่าแหล่งกำเนิดยังไม่ชัดเจน แต่นักวิทยาศาสตร์ก็แน่ใจว่าสิ่งที่พบคือหลักฐานยืนยันหนักแน่นว่ามีน้ำในสถานะของเหลวอยู่บนผิวดาวอังคารแบบไม่ถาวร
นักวิทยาศาสตร์ยังคงเชื่อว่าในอดีตซึ่งคาดว่าบรรยากาศของดาวอังคารหนาแน่นกว่าปัจจุบันและอุณหภูมิเฉลี่ยสูงกว่าปัจจุบัน เคยมีน้ำเอ่อท่วมบนดาวอังคาร ซึ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่อาจมีหรือเคยมีสิ่งมีชีวิตแบบที่เรารู้จัก อันที่จริงแล้ว แถลงการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วของนาซ่าเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อกระแสหลักมากเป็นพิเศษนั้นไม่ได้เพิ่มโอกาสความเป็นไปได้ที่จะมีสิ่งมีชีวิตบนดาวอังคารจากที่นักวิทยาศาสตร์เคยรับรู้มาก่อนหน้านี้ แต่พื้นที่ซึ่งพบโครงสร้างที่บ่งบอกว่าเป็นน้ำบนดาวอังคารน่าจะเป็นจุดหมายสำคัญที่ได้รับการพิจารณาในแผนการสำรวจดาวอังคารในอนาคต
ปรากฏการณ์ท้องฟ้า (4–11 ต.ค.)
ดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์สว่างดวงเดียวที่เห็นได้ง่ายด้วยตาเปล่าบนท้องฟ้าเวลาหัวค่ำ ดาวเสาร์อยู่ในกลุ่มดาวคันชั่ง ซึ่งอยู่ติดกับกลุ่มดาวแมงป่อง กำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เข้าสู่พื้นที่ของกลุ่มดาวแมงป่องตามการแบ่งขอบเขตกลุ่มดาวทางดาราศาสตร์สากลในสัปดาห์หน้า เริ่มเห็นดาวเสาร์ได้เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืด ขณะนั้นอยู่สูงเหนือขอบฟ้าไม่เกิน 30 องศา จากนั้นเคลื่อนต่ำลง ตกลับขอบฟ้าราว 3 ทุ่ม
ดาวศุกร์ ดาวอังคาร และดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์สว่างสามดวงอยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืดในกลุ่มดาวสิงโต โดยปรากฏบนฟ้าทิศตะวันออก ดาวศุกร์สว่างเห็นได้ง่าย ดาวอังคารอยู่ต่ำลงไป ดาวพฤหัสบดีอยู่ต่ำที่สุด ครึ่งหลังของเดือน ต.ค. หากฟ้าเปิดจะเห็นดาวเคราะห์ทั้งสามเกาะกลุ่มอยู่ใกล้กัน
สัปดาห์นี้เข้าสู่ครึ่งหลังของข้างแรม มองเห็นดวงจันทร์อยู่บนท้องฟ้าเวลาเช้ามืดของทุกวัน ดวงจันทร์สว่างครึ่งดวงในเช้ามืดวันที่ 5 ต.ค. หลังจากนั้นกลายเป็นเสี้ยว มีปรากฏการณ์ดาวเคียงเดือนที่น่าสนใจในเช้ามืดวันที่ 9 และ 10 ต.ค. วันศุกร์ที่ 9 ต.ค. จันทร์เสี้ยวอยู่ใกล้ดาวศุกร์และดาวหัวใจสิงห์ในกลุ่มดาวสิงโต ห่างดาวศุกร์เพียง 2 องศา ส่วนดาวหัวใจสิงห์อยู่ทางซ้ายมือของดาวศุกร์ วันเสาร์ที่ 10 ต.ค. ดวงจันทร์เคลื่อนต่ำลงไปอยู่ใกล้ดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี โดยเห็นอยู่ทางขวามือของดาวพฤหัสบดี ห่างดาวอังคาร 5 องศา ห่างดาวพฤหัสบดี 3 องศา


