posttoday

นิยาม 'ซิงเกิ้ลเกตเวย์' สับสน

04 ตุลาคม 2558

หากพูดภาษาชาวบ้าน เกตเวย์ หรือ International Internet Gateway (IIG) ก็คือจุดที่ข้อมูล (Data)

โดย...วิทยา ปะระมะ

หากพูดภาษาชาวบ้าน เกตเวย์ หรือ International Internet Gateway (IIG) ก็คือจุดที่ข้อมูล (Data) ที่เดินทางไปทั่วเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในประเทศ ต้องมาผ่านที่จุดๆ นี้ ก่อนไหลออกไปนอกประเทศ โดยปัจจุบันไทยมีเกตเวย์ประมาณ 10 กว่าจุด

ส่วนซิงเกิ้ลเกตเวย์ หากแปลความตามตรง ก็หมายถึงเกตเวย์เดียว จึงไม่แปลกที่จะทำให้พลเมืองเน็ตต่างเข้าใจกันว่ารัฐบาลกำลังต้องการเอาเกตเวย์ทุกๆ แห่งมารวมเหลือเพียงแห่งเดียว

สำทับด้วยเอกสารข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี วันที่ 30 มิ.ย., 21 ก.ค., 4 และ 25 ส.ค. ล้วนระบุว่า ให้จัดตั้งซิงเกิ้ลเกตเวย์ เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีนัยของการควบคุม ไม่มีข้อความใดๆ ที่บอกว่าให้ไปศึกษาหรือเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัล ก็ยิ่งทำให้เกิดความกังวลว่ารัฐบาลต้องการสอดส่องดักจับข้อมูลการใช้งานอินเทอร์เน็ตของประชาชนขณะเดียวกัน ตัวภาครัฐเองก็ยังไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ว่าตกลงแล้วซิงเกิ้ลเกตเวย์ที่ไม่ได้หมายถึงเกตเวย์เดียวตามที่ประชาชนเข้าใจนั้นคืออะไร แม้แต่ อุตตม สาวนายน รมว.ไอซีที ก็ยังยอมรับว่าคำว่าซิงเกิ้ลเกตเวย์ยังไม่มีนิยามที่ชัดเจน“คำว่าซิงเกิ้ลเกตเวย์ก็เป็นคำทั่วไป ไม่ได้ปักธงไปแล้วว่าต้องเป็นซิงเกิ้ลเกตเวย์ ยังไม่มีนิยาม ยังไม่มีอะไรทั้งนั้น” อุตตม กล่าว

แค่ศึกษาซิงเกิ้ลเกตเวย์

อุตตม กล่าวว่า ในมุมของกระทรวงไอซีที ได้ศึกษาในมุมว่ามีอะไรบ้างที่ภาคโทรคมนาคมของประเทศจะสามารถใช้ทรัพยากรร่วมกันของทั้งภาครัฐและเอกชนแล้วเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น ในส่วนการจราจรของข้อมูล (ทราฟฟิก) ขาออก เกตเวย์ขณะนี้มีหลากหลายจุด เป็นไปได้หรือไม่ว่ามาร่วมกันใช้เกตเวย์ร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นหนึ่งแห่ง จะมีมากกว่าก็ได้ เพราะไม่ได้เป็นการบังคับใคร แต่อาจหารือเอกชนได้ เพราะเอกชนก็มีความสนใจ ตราบใดที่เป็นประโยชน์เชิงพาณิชย์ ทั้งหมดนี้เป็นการศึกษาเท่านั้นเอง

เช่นเดียวกับทราฟฟิกขาเข้าประเทศ หรือ National Internet Exchange (NIX) ก็เหมือนกัน ทุกวันนี้ต่างคนต่างลงทุน ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ไอเอสพี) รายหนึ่งต้องทำศูนย์แล้วไปเชื่อมกับไอเอสพีอีกหลายรายเพื่อรับคอนเทนต์ ก็จะดูว่ามีโอกาสหรือไม่ที่จะทำ NIX กลาง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐ ทั้งบริษัท กสท โทรคมนาคม และบริษัท ทีโอที อาจมาตั้งเป็นบริษัทรวม แล้วดึงเอกชนมาร่วมด้วย แบบนี้จะเป็นประโยชน์หรือไม่ แต่หากศึกษาแล้วมีผลกระทบเชิงลบ ทำให้อินเทอร์เน็ตช้าลง หรือประชาชนคิดว่ากระทบกับสิทธิ ฯลฯ ก็ไม่ทำ

“สิ่งที่เราศึกษาไม่จำเป็นต้องมีหนึ่งเดียว แต่มันเป็นการรวมกันเพื่อประหยัดต้นทุน” อุตตม กล่าว

ด้าน ทรงพร โกมลสุรเดช ปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวถึงข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเรื่องซิงเกิ้ลเกตเวย์ที่มีการแชร์กันในโซเชียลมีเดียว่า ต้องเข้าใจก่อนว่าข้อมูลที่อยู่ในโลกออนไลน์บางครั้งผิดกฎหมายจริงๆ นายกรัฐมนตรีเลยอยากให้ไอซีทีบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

“ไอซีทีมีกฎหมาย พ.ร.บ.การกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ 2550 ตั้งแต่มีกฎหมายฉบับนี้ ถามว่าทำอะไรได้ตามอำเภอใจหรือไม่ ก็ทำไม่ได้ จะไปสั่งปิดใคร ไปตรวจข้อมูลใคร ทุกอย่างมีขั้นตอน ต้องไปขอหมายศาล ต้องไปขอความร่วมมือกับไอเอสพี บางทีก็สั่งไอเอสพีไม่ได้ เพราะไอซีทีไม่ได้เป็นคนออกใบอนุญาต” ทรงพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม โดยเจตนาของข้อสั่งการนั้น ถามว่าต้องเป็นซิงเกิ้ลเกตเวย์หรือไม่ หากวิเคราะห์กันแล้ว คำว่าซิงเกิ้ลเกตเวย์ก็ไม่ได้ช่วยในการบังคับใช้กฎหมาย ถ้าไม่ดึงผู้ให้บริการข้อมูลเข้ามาตั้งในประเทศไทย ก็บังคับใช้กฎหมายไม่ได้

ปลัดไอซีที กล่าวต่อไปว่า ในมิติทางเศรษฐกิจ อย่าไปใช้คำว่าเกตเวย์ แต่เรียกว่าเป็นการเชื่อมต่อ หรือคอนเนกชั่นดีกว่า เช่นเดียวกับคำว่าซิงเกิ้ลก็อย่าไปคิดถึงว่ามีที่เดียว

ปลัดไอซีทียกตัวอย่างการเชื่อมต่อระหว่างประเทศว่า หากมีคอนเนกชั่นระหว่างประเทศแค่จุดเดียว ต้นทุนก็จะถูกกว่ามีการเชื่อมต่อที่คอนเนกกัน 2-3 ทอด เช่น ออกทางชายแดนไปเชื่อมกับมาเลเซีย แล้ววิ่งผ่านเคเบิลใต้น้ำของมาเลเซียอีกที ซึ่งต้นทุนสูงกว่า

“เพราะฉะนั้นเปลี่ยนใหม่ คือไม่เอาคำว่าเกตเวย์ แต่เป็นการทำคอนเนกชั่นเดียวแต่ Multiple Gateway ซึ่งก็ต้องดูว่าจะทำคอนเนกชั่นอย่างไรให้ต้นทุนถูกลง ทุกวันนี้เราใช้บริการอินเทอร์เน็ตเยอะมาก เราเสียเงินโดยไม่รู้ตัว ต้นทุนตรงนี้จะลดลงได้ถ้าลดในส่วนของการเชื่อมต่อลง” ปลัดทรงพร กล่าว

เกตเวย์เดียวเสี่ยง

ด้าน พ.อ.สรรพชัย หุวะนันทน์ รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม หนึ่งในผู้ให้บริการเกตเวย์รายใหญ่ของประเทศ กล่าวว่า เส้นทางที่ข้อมูลอินเทอร์เน็ตจะออกนอกประเทศไม่ได้มีแค่เกตเวย์เพียงอย่างเดียว ยังสามารถผ่านวงจรสื่อสารข้อมูลส่วนตัวความเร็วสูงระหว่างประเทศ (International Private Leased Circuit : IPLC) หรือแม้แต่ผ่านทางสายไฟเบอร์ออพติกที่ลากบริเวณชายแดนไปเชื่อมต่อกับต่างประเทศ และประเด็นสำคัญคือ แม้ปัจจุบันจะมีผู้ให้บริการเกตเวย์ 10 กว่าราย แต่ข้อมูลที่ออกนอกประเทศกว่า 70% วิ่งออกทางภาคใต้ไปที่มาเลเซียและสิงคโปร์เป็นหลัก

“ทุกวันนี้ทราฟฟิกส่วนใหญ่วิ่งไปที่มาเลเซีย สิงคโปร์ อันนี้เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง มันแทบไม่แตกต่างจากซิงเกิ้ลเกตเวย์เลย เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุสักอย่าง หรือหากมาเลเซียต้องการจะกรองข้อมูล เขาทำได้หมด จะชัตดาวน์ก็ได้ ทำได้ง่ายๆ เลย นี่ต่างหากที่เป็นความเสี่ยงของประเทศ” พ.อ.สรรพชัย กล่าว

ปัจจัยที่ผลักดันให้เป็นเช่นนี้ เพราะในโลกธุรกิจให้ความสำคัญกับราคาเป็นหลัก ซึ่งวงจรเคเบิลใต้น้ำของ กสทฯ จะลงทุนสูง ทำให้ราคาต่อหน่วยสูงตามไปด้วย แต่การลากสายไฟเบอร์ออพติกบนบกไปต่อเชื่อมกับมาเลเซียมีต้นทุนถูกกว่า ขณะเดียวกันราคาค่าเช่าวงจรของมาเลเซียและสิงคโปร์ก็ถูกกว่าของ กสทฯ 3 เท่า ผู้ให้บริการคอนเทนต์ต่างๆ จึงไปตั้งเซิร์ฟเวอร์ที่นั่นแทน

พ.อ.สรรพชัย ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการลากสายไฟเบอร์ออพติกออกผ่านชายแดนโดยตรง ยังคลุมเครือว่าสามารถทำได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันใครอยากลากสายออกไปก็ลากไปเลย ไม่มีศูนย์รวม เปรียบเหมือนคนไทยเดินทางไปเมืองนอกแต่อยากออกตรงไหนก็ออกได้ ไม่ต้องผ่านตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ประเด็นนี้ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ควรต้องไปกำหนดนิยามของเกตเวย์ให้ชัดเจนกว่านี้

ชงแผน ‘คอนโซลิเดท’

ทั้งนี้ กสทฯ เสนอแผนไปที่กระทรวงไอซีที คือเอาทรัพย์สินที่เกี่ยวกับธุรกิจเกตเวย์ของ กสทฯ และทีโอทีมาใช้ประโยชน์ร่วมกันและไม่ลงทุนซ้ำซ้อน รูปแบบที่เป็นไปได้ก็คือ 1.ตั้งบริษัท แล้วเอาสินทรัพย์ของทั้งสองฝ่ายมารวมกันให้บริการ หรือ 2.ต่างคนต่างทำ แต่คุยกันก่อนว่าใครจะขยายไปเส้นทางไหน แล้วค่อยเอามารวมกันในภายหลัง แนวคิดนี้เรียกว่าเป็นคอนโซลิเดทเกตเวย์ ถ้าสองรายนี้ร่วมมือกัน อย่างน้อยก็มีส่วนแบ่งตลาด 40% แล้ว ขณะเดียวกัน กสทฯ ก็มีแผนที่จะทำราคาค่าโครงข่ายเกตเวย์ให้ลดลงมาเท่ากับสิงคโปร์ภายใน 3 ปีด้วย เพื่อให้ภาคเอกชนไม่ต้องลงทุนเอง

อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางอินเทอร์เน็ตในภูมิภาคนี้ แค่สร้างโครงข่ายและราคาอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องหาทราฟฟิกเข้ามาวิ่งด้วย เปรียบเหมือนการสร้างถนนอย่างเดียว ถ้าไม่มีรถมาวิ่งก็ไม่มีประโยชน์

หากรัฐบาลสามารถดึงให้คอนเทนต์โพรวายเดอร์รายใหญ่ๆ มาอยู่เมืองไทย ทั้งเฟซบุ๊ก กูเกิล ไลน์ ต่อไปอาจไม่จำเป็นต้องส่งทราฟฟิกไปสิงคโปร์ มาเลเซีย และยังสามารถดึงทราฟฟิกจากเออีซีทางตอนเหนือ เช่น เมียนมา ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีนตอนใต้ลงมาไว้ที่ไทยอีกด้วย

เผลอๆ ในอนาคตทั้งสิงคโปร์และมาเลเซียอาจต้องส่งทราฟฟิกอินเทอร์เน็ตกลับมาที่ไทยด้วยซ้ำ

ข่าวล่าสุด

LIVE ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อีสปอร์ต FC Mobile ไทย พบ เวียดนาม นัดชิงฯ วันนี้