posttoday

องค์การสวนสัตว์ ผลิตละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก

22 กันยายน 2558

องค์การสวนสัตว์ ผลิตละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก พร้อมเปิดธนาคารพันธุกรรมเก็บเชื้อสัตว์หายากในอนาคต

องค์การสวนสัตว์ ผลิตละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก พร้อมเปิดธนาคารพันธุกรรมเก็บเชื้อสัตว์หายากในอนาคต

นายเบญจพล นาคประเสริฐ ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวถึงความสำเร็จด้านเทคโนโลยีทางการสืบพันธุ์สัตว์ป่าของศูนย์นวัตกรรมทางการสืบพันธุ์สัตว์ป่า องค์การสวนสัตว์ว่า เป็นศูนย์นวัตกรรมแห่งแรก และแห่งเดียวของประเทศไทย มีเป้าหมายเพื่อเพาะขยายพันธุ์และอนุรักษ์สัตว์ป่าหายากของไทย ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพทางการสืบพันธุ์ ทั้ง​การเก็บรักษาน้ำเชื้อแช่แข็ง (Frozen semen) ,การผสมเทียม (Artificial Insemination, AI) ,การย้ายฝากตัวอ่อน (Embryo Transfer, ET) ,​การปฏิสนธิภายนอกร่างกาย (In Vitro Fertilization, IVF) และการโคลนนิ่ง (Cloning)
           
โดย สพญ.หญิง ดร.อัมพิกา ทองภักดี หัวหน้าฝ่ายวิจัย สำนักอนุรักษ์และวิจัย องค์การสวนสัตว์ฯ กล่าวว่า ในงานวิจัยขององค์การสวนสัตว์ นอกจากเน้นเรื่องสุขภาพและการวิวัฒนาการของสัตว์ป่าแล้ว ยังเน้นเรื่องพันธุกรรมและการขยายพันธุ์ เพื่อเพิ่มจำนวนประชากรสัตว์ป่า ด้วยวิธีการใหม่ๆ พร้อมมีเป้าหมายเพื่อคืนสัตว์ป่ากลับสู่ธรรมชาติ ขณะเดียวกัน ยังสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนอนุรักษ์สัตว์ป่าเช่นกัน

ทั้งนี้ งานวิจัยที่สำคัญ คือ การผลิตละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก การผสมเทียมหมีแพนด้า และการผสมเทียมเสือลายเมฆ ตลอดจนธนาคารพันธุกรรมสัตว์ป่า ที่ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นธนาคารพันธุกรรมของชาติ นำพันธุกรรมของสัตว์ป่าสงวนที่มีความสำคัญทั้งของไทยและของโลกมาแช่แข็งไว้ เพื่อการผสมพันธุ์นอกร่างกายในอนาคต ซึ่งประชากรละมั่งในประเทศ แบ่งเป็นละมั่งพันธุ์สยาม และละมั่งพันธุ์พม่า โดยองค์การสวนสัตว์ประสบความสำเร็จในการผลิตละมั่งพันธุ์พม่าหลอดแก้วเกิดจากการปฏิสนธิภายนอกร่างกาย และย้ายฝากตัวอ่อน ได้เป็นละมั่งหลอดแก้วตัวแรกของโลก และในปัจจุบันทีมสัตวแพทย์ขององค์การสวนสัตว์ เร่งพัฒนาขยายผลสู่ละมั่งพันธุ์ไทย เนื่องจากเหลือเพียง 50 ตัวในประเทศ ซึ่งทำให้เกิดการผสมภายในเครือญาติ พบปัญหาเลือดชิด ที่ทำให้อัตราได้ลูกละมั่งในปริมาณน้อยลง อีกทั้งยังมีสุขภาพอ่อนแอ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์  จึงจะแก้ปัญหา ด้วยการนำพันธุกรรมดีของแม่ละมั่งพันธุ์ไทย ผสมกับเชื้อพ่อละมั่งไทยพันธุ์ดีภายนอกร่างกาย เพื่อให้ได้ตัวอ่อนที่มีคุณภาพ และนำตัวอ่อนไปฝากไว้ที่ท้องของแม่ละมั่งพันธุ์พม่า เพื่อเพิ่มประชากรสัตว์ที่สุขภาพดีมากขึ้น นอกจากนี้ ยังสามารถนำพันธุกรรมแช่แข็งจากประเทศเพื่อนบ้าน มาผสมกับละมั่งเพศเมียในไทย เพื่อให้ได้สัตว์ที่พันธุกรรมดีมากขึ้นเช่นกัน

ขณะเดียวกัน องค์การสวนสัตว์ ยังมีธนาคารพันธุกรรม หรือสวนสัตว์แช่แข็ง ได้เก็บตัวอย่างพันธุกรรม หรืออสุจิของสัตว์เพศผู้ ไข่ของเพศเมียแช่แข็งไว้ เพื่อเป็นตัวอย่างที่สามารถนำมาวิจัยและใช้ในเทคโนโลยีขยายพันธุ์ได้ในอนาคต ซึ่งขณะนี้ เก็บพันธุกรรมสัตว์หายากได้แล้ว 32 ชนิด 5,000 กว่าตัวอย่าง อาทิ ละมั่ง สมเสร็จ กวางผา ช้าง เป็นต้น หากเรียงลำดับการขยายพันธุ์ที่องค์การสวนสัตว์ประสบความสำเร็จ เริ่มจากการผสมเทียมหมีแพนด้า การผสมเทียมละมั่งพันธุ์พม่า ละมั่งหลอดแก้ว เสือลายเมฆผสมเทียม นกกระเรียนผสมเทียม และที่พยายามเพาะพันธุ์ด้วยการผสมเทียม คือช้างเอเชีย แต่ปัญหาเกิดขึ้นจากขนาดตัวของช้าง มีความลำบากในการเคลื่อนย้าย บางตัวไม่ยอมรับการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ จึงพยายามเก็บพันธุกรรมของตัวผู้ ใช้วิธีการผสมเทียม แต่ต้องมีความพร้อมทั้งตัวช้าง ทีมงานและเครื่องมือที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ต้องรอดูผลว่าจะสำเร็จหรือไม่
           
ด้าน น.สพ.ดร.บริพัตร ศิริอรุณรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักอนุรักษ์ และวิจัย องค์การสวนสัตว์ ยืนยันว่า องค์การสวนสัตว์ให้ความสำคัญกับสัตว์ป่าสงวนทั้ง 15 ชนิด ที่ขณะนี้เหลือเพียง 7-8 ชนิด ซึ่งได้มุ่งมั่นศึกษาวิจัยสัตว์หลายชนิด ทั้งเก้งหม้อ สมเสร็จ แมวลายหินอ่อน เนื้อทราย ละอง ละมั่ง กวางผา และนกกระเรียนนอกจากเก็บอสุจิสัตว์ป่าสงวนหลายชนิดในธนาคารพันธุกรรม แล้ว บางส่วนได้ฝากไว้ที่มหาวิทยาลัยพันธมิตร เผื่อกรณีเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ก็มีพันธุกรรมสัตว์หายากสำรองไว้ ถือเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่า เพราะหากเลี้ยงสัตว์ที่มีชีวิตจำนวนมาก อาจมีค่าใช้จ่ายมาก ธนาคารพันธุกรรมจึงเป็นแผนสำรอง เพื่อขยายพันธ์ ให้เป็นต้นพันธุ์นำมาปรุงให้เกิดลูกสัตว์ที่มีชีวิต

ทั้งนี้ ในส่วนของนกกระเรียนพันธุ์ไทย ที่หายจากธรรมชาติไปแล้วไม่ต่ำกว่า40 ปี เหลือเฉพาะในประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม เมียนมาร์ ทางสวนสัตว์โคราชจึงให้ความสำคัญด้วยการเพาะขยายพันธ์ จนผลิตนกกระเรียนที่รอดชีวิตได้ปีละ10-20 ตัว และปี 2550-2554 ได้ทดลองปล่อยนกกระเรียนกลับสู่ธรรมชาติ จนถึงขณะนี้ จำนวน 70 ตัว ซึ่งอัตรารอดร้อยละ 60-70 นับว่าเป็นความสำเร็จที่ภาคภูมิใจ

พร้อมกันนี้ ระบุว่า นอกจากการเพาะขยายพันธุ์ละมั่งด้วยวิธีหลอดแก้วแล้ว ในละมั่งพันธุ์พม่าที่มีจำนวนมาก ก็ได้ปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยเริ่มต้นจากคัดเลือกตัวที่สุขภาพดี เก็บพันธุกรรมชั้นดีของทั้งตัวผู้และตัวเมีย คัดเลือกตรวจสุขภาพว่า ไม่มีโรคที่เกิดจากสถานที่เลี้ยง  ตรวจความหลากหลายของพันธุกรรมให้พ่อแม่มาจากคนละสายพันธ์ ไม่ให้มีปัญหาเรื่องเลือดชิดในอนาคต ก่อนจะติดปลอกคอ แล้วปล่อยคืนสู่ป่า ซึ่งในเวลานี้เริ่มตั้งประชากร และมีลูกตามธรรมชาติได้แล้ว ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มประชากรสัตว์กินเนื้อ ตลอดจนให้สังคมได้มั่นใจว่า สวนสัตว์ไม่ใช่เพียงแค่นำสัตว์มาขังให้คนดู แต่มุ่งมั่นก้าวไปสู่สถาบันที่พิสูจน์ตัวเองว่า จะเป็นส่วนเล็กๆที่มีเป้าหมายเพื่อการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าเช่นกัน

ผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ ยืนยันว่า ระบบสวนสัตว์แช่แข็งหรือธนาคารพันธุกรรม จะปฏิบัติการได้เต็มที่อย่างเป็นทางการในต้นปีหน้า ซึ่งขณะนี้ก็ได้เปิดการวิจัยและให้สถาบันศึกษาได้เยี่ยมชมแล้ว แต่ยังอยู่ระหว่างการเติมเต็มความสมบูรณ์ ทั้งนี้ องค์การสวนสัตว์ได้ร่วมมือด้านการวิจัยกับสวนสัตว์นานาชาติ

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สถาบันสมิธโซเนียน หรือ สวนสัตว์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมมือกันมานานกว่า 40 ปี ในการส่งบุคลากรมาให้ความรู้ ซึ่งต่อยอดมาถึงโครงการละมั่งและเสือลายเมฆ ขณะเดียวกัน ในโครงการผสมเทียมเสือลายเมฆ นอกจากภาคีพันธมิตร แล้ว ยังมีสวนสัตว์แนชวิลล์ และ สวนสัตว์พอยท์เดอไฟแอนส์ ณ กรุงวอชิงตันภาคีเครือข่ายอนุรักษ์เสือลายเมฆ สหรัฐอเมริกา ที่ร่วมกันศึกษาวิจัย อีกทั้ง ไทยยังร่วมมือกับประเทศกัมพูชาในการศึกษาการใช้ชีวิตของนกกระเรียนที่ปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ รวมทั้ง งานวิจัยด้านการศึกษาพฤติกรรมของสัตว์ ร่วมกับประเทศไต้หวัน ญี่ปุ่น ตลอดจนประเทศเพื่อนบ้าน ด้วย  ขณะที่ไทยยังได้ร่วมแก้ปัญหาเรื่องสัตว์ป่าในเมียนมาร์เช่นกัน ยืนยันว่า ผู้บริหารสวนสัตว์นานาชาติ ได้พยายามแลกเปลี่ยนสายพันธุ์สัตว์ป่ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเลือดชิดในหมู่ญาติ

น.สพ.ดร.บริพัตร ระบุว่า องค์การสวนสัตว์ ยังได้ร่วมมือกันสวนสัตว์แห่งชาติ   ประเทศแอฟริกาใต้ ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธนาคารพันธุกรรม เพื่อเตรียมทำร่างความตกลงแลกเปลี่ยนนักวิจัย โดยไทยจะส่งนักวิจัยไปเรียนรู้ระบบของธนาคารของแอฟริกาใต้ และแอฟริกาใต้จะส่งนักวิจัยมาที่เรียนรู้การเพาะพันธุ์สัตว์ในไทยเช่นกัน ทั้งนี้แอฟริกาใต้ เล็งเห็นความเชี่ยวชาญของไทย จึงเชิญให้ร่วมงานวิจัยในระยะยาว6เดือน-2ปี และให้ไทยแนะนำการทำงานให้แก่นักวิจัยของแอฟริกาใต้เพื่อให้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมกันด้วย

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้