posttoday

"จัดระเบียบสายไฟลงดิน"...ฝันที่เป็นจริงของคนกรุง?

07 กันยายน 2558

เมื่อแนวคิดการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน กำลังจะเกิดขึ้นจริงในไม่ช้า

โดย...อินทรชัย พาณิชกุล

สายไฟห้อยระโยงระยางเหนือหัวตามท้องถนน ทำเอาหลายคนเบือนหน้าหนี เพราะอุจาดตา ทั้งยังสุ่มเสี่ยงเกรงจะโดนไฟฟ้าช๊อต

คำถามเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ---- เมื่อไหร่เมืองไทยจะเอาสายไฟลงดินเหมือนที่อื่นเสียที

ดูเหมือนว่าวันนี้ฝันกำลังจะกลายเป็นจริงแล้ว...

"จัดระเบียบสายไฟลงดิน"...ฝันที่เป็นจริงของคนกรุง?

จัดระเบียบสายไฟลงดิน

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. คณะรัฐมนตรีเห็นชอบแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าลงดินของการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ภายใต้งบประมาณ 143,092 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมสภาพภูมิทัศน์บ้านเมืองให้สวยงาม เพิ่มความปลอดภัยให้ชีวิตประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพยิ่งขึ้น

แผนดังกล่าวประกอบด้วย โครงการย่อยที่ 1 ปี 2557-2565 49 เส้นทาง รวมระยะทาง 144.6 กิโลเมตร แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 99.2 กม. นนทบุรี 12.3 กม. สมุทรปราการ 33.1 กม. โครงการย่อยที่ 2 ปี 2558-2560 30 เส้นทาง รวมระยะทาง 117 กม. แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 92.6 กม. และนนทบุรี 24.4 กม. เมื่อรวมทั้งสิ้นจะมี 79 เส้นทาง รวมระยะทางทั้งหมด 261.6 กม.แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร 191.8 กม. นนทบุรี 36.7 กม. และสมุทรปราการ 33.1 กม.

สำหรับพื้นที่กทม. ที่ผ่านมาการไฟฟ้านครหลวงได้ดำเนินการนำสายไฟลงดินแล้วบางส่วนคือ โครงการถนนสีลม โครงการปทุมวัน เขตท่องเที่ยว และโครงจิตรลดา รอบเขตพระราชฐาน รวม 16.2 กิโลเมตร พื้นที่ที่อยู่ในระหว่างดำเนินการ ประกอบด้วยถนนพหลโยธิน ถนนพญาไท โครงการนนทรี ถนนพระราม 3 ถนนรัชดาภิเษก-อโศก ถนนรัชดาภิเษก-พระราม 9 และโครงการถนนสุขุมวิท ล่าสุดยังได้เพิ่มอีก 39 โครงการ ยาว 127 กิโลเมตร รองรับการขยายทางรถไฟฟ้า เช่น ถนนอังรีดูนังต์ ถนนชิดลม ถนนหลังสวน ถนนสารสิน ถนนวิทยุ ถนนพระราม 4 ถนนสาทร ถนนเจริญราษฎร์ ถนนเพชรบุรี ถนนดินแดง เป็นต้น

ศุภกร นุ่มหอม ผู้ช่วยผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เผยว่า ที่ผ่านมาการนำสายไฟลงดินเกิดความล่าช้า เนื่องจากติดข้อจำกัดต่างๆในการทำงาน ตั้งแต่เตรียมพร้อมอุปกรณ์ ถอดลูกถ้วย ปลดสายไฟฟ้า ปลดสายเคเบิลสาธารณูปโภค ตัดเสาและดึงให้ล้มลง ตัดสายส่วนเกินออก รวมเวลาที่ในการใช้โค่นเสาไฟฟ้าแต่ละต้นไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง

ข้อดีของการนำสายไฟลงใต้ดิน นอกจากเรื่องทัศนียภาพ ความปลอดภัย ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าของระบบด้วย

"กรณีเกิดพายุฝนฟ้าคะนอง ต้นไม้ไปแกว่งโดนสายไฟ ทำให้ไฟฟ้าดับชั่วคราว หรือดับระยะยาว ถ้านำสายไฟฟ้าลงดินก็จะไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น อีกเรื่องคือ เพิ่มความสามารถในการจ่ายไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น สายอากาศที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจจะเดินไปได้ 2 วงจร แต่ถ้านำสายลงใต้ดินก็จะเพิ่มได้อีกหลายวงจร สำหรับการดำเนินการนำสายไฟลงดิน ต้องประสานไปยังเจ้าของสายต่างๆ เพื่อนำไปรวมในท่อและฝังลงใต้ดิน ท่อนั้นต้องขุดลึกไม่ต่ำกว่า 60 ซม. การบำรุงรักษาไม่ยาก แต่ต้องระวังหากมีการขุดเจาะก่อสร้างบนดิน อาจจะกระทบท่อฝังสายไฟใต้ดิน ส่วนปัญหาน้ำท่วม เรื่องสายไฟฟ้าไม่มีอะไรน่าห่วง ห่วงแต่หม้อแปลงที่จากเดิมอยู่สูงเหนือพื้นดินราว 3-4 เมตร พอลงใต้ดินเหลือสูงจากพื้นดินเพียง 1 เมตร"

"จัดระเบียบสายไฟลงดิน"...ฝันที่เป็นจริงของคนกรุง?

สายสื่อสาร ... ต้นเหตุทัศนอุจาด

รู้หรือไม่ “สายไฟ” ที่เรามักเห็นรกรุงรังอยู่บนเสาไฟฟ้า ไม่ใช่สายไฟฟ้าทั้งหมด

สายไฟฟ้าจริงๆจะถูกเดินไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ด้านบนสุุด รองลงมาคือ สายไฟฟ้าแรงต่ำ ซึ่งไม่ได้มีสายไฟอื่นมาพาดไว้ แต่สายที่ต่ำสุดที่ยุ่งเหยิงที่สุด ทั้งถูกพันกันมั่วซั่ว ม้วนเป็นขดกลมๆแลดูอัปลักษณ์ นั่นคือ สายสื่อสาร ประกอบด้วยสายโทรศัพท์ สายเคเบิ้ล สายอินเทอร์เน็ต รวมถึงสายไฟที่โยงจากอาคารร้านค้าต่างๆ

ผู้ช่วยผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยจัดระเบียบสายไฟฟ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่สำเร็จ

"สายไฟฟ้าที่เราเห็นเรียงรายอยู่ตามท้องถนน บนเสาไม่ได้มีสายไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว แต่ประกอบด้วยสายไฟฟ้าแรงสูง สายไฟฟ้าแรงต่ำ และสายสื่อสาร เช่น สายเคเบิ้ล สายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต สายทีวี ปัจจุบันมีผู้ประกอบการมากกว่า 20 ราย เรื่องนี้ถือเป็นปัญหามานาน เคยให้ผู้ประกอบการทุกรายช่วยกันจัดระเบียบพันสายสื่อสารให้เรียบร้อย แต่ก็เป็นไปอย่างยากลำบาก"

สอดคล้องกับ ศ.ดร.เอกสิทธิ์ ลิ้มสุวรรณ อุปนายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยที่ระบุว่า เสาไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวงมีปัญหามานาน เพราะมีแต่คนฝาก ทั้งสายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต สายทีวี และสายอื่นๆพาดกันอีนุงตุงนัง พวกนี้ถือเป็นตัวทำลายทัศนียภาพอย่างแท้จริง

"ต่อไปนี้หากมีการนำสายไฟลงดิน สายต่างๆพวกนี้ก็ต้องลงดินด้วย อาจจะต้องไปเช่าท่อของคนอื่นเพื่อฝังสาย หรือไม่ก็เปลี่ยนมาเป็นระบบไร้สาย (wireless)"

เมืองไทยล้าหลังมาก

ในฐานะผู้ขับเคลื่อนแนวคิดการนำสายไฟฟ้าลงดินมานานกว่า 30 ปี ศ.ดร.เอกสิทธิ์ เผยว่า รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณในการวางระบบนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน

"เมืองไทยล้าหลังเรื่องนี้มานาน ช้ามาก อุปสรรคที่ทำให้ไม่เกิดขึ้นสักทีก็คือ ทัศนคติคนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจเชื่อว่านำสายไฟฟ้าลงใต้ดินจะไม่ปลอดภัย ทั้งที่ทั่วโลกเขาลงดินกันหมด กรุงเทพกับต่างประเทศก็ไม่ต่างกัน อาจจะมีบ้างที่บางประเทศอากาศหนาวต้องฝังท่อลึกกว่า ลงใต้ดินจะกำกับดูแลง่ายขึ้นด้วยซ้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยคือตัวอย่างที่น่าสนใจ เพราะถือเป็นแห่งแรกที่เอาทุกอย่างลงดินมาตั้งแต่ปี 2520 ทั้งสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ สายเคเบิ้ล สายอินเทอร์เน็ต กรุงเทพมหานครมีพยายามตรงนี้มานานมาก เช่น ถนนสีลม ถนนสุรวงศ์ ถนนสี่พระยา แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สีลมทำได้ระดับนึง สุรวงศ์ก็ครึ่งๆกลางๆ สี่พระยาก็ได้บางส่วน สุดท้ายก็เงียบหายไป เพราะรัฐบาลไม่สนับสนุน จึงลุ่มๆดอนๆมาตลอด ดังนั้นการที่รัฐบาลอนุมัติงบประมาณ ทุกอย่างก็แจ่มใสขึ้น จะทำให้เป็นระบบระเบียบอย่างที่ควรจะเป็น"

ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบโยธาและไฟฟ้ารายนี้ ระบุว่า หน่วยงานหลักที่ขับเคลื่อนแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าลงดิน ประกอบด้วยการไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย สมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย ได้วางแผนในการวางระบบสายไฟลงดินมานานนับสิบปีแล้ว ประชาชนไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานในครั้งนี้

"หลักการง่ายๆคือ ไฟฟ้าแรงสูงจะถูกส่งมายังสถานีไฟฟ้าย่อย ก่อนส่งไปยังอาคารและที่สาธารณะต่างๆ เรื่องที่ว่าจะมุดดิน มุดท่อน้ำทิ้ง ถนน หรือทางเท้า จะทำยังไง ตรงนี้เรามีมาตรฐานหมดแล้ว ขณะที่กรุงเทพมหานครอาจต้องเปลี่ยนเสาไฟฟ้าใหม่ เพราะแต่เดิมใช้เสาของกฟน. ตรงนี้อาจต้องเปลี่ยนเป็นเสาใหม่แบบไร้สาย เน้นดีไซน์ สอดรับกับทัศนียภาพที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้บ้านเมืองสวยงามยิ่งขึ้น

กิตติ สุขุตัมตันติ ผู้ประสานงานสมาคมไฟฟ้าและแสงสว่างแห่งประเทศไทย บอกว่า เห็นด้วยกับการนำสายไฟลงดิน เพราะทำให้บ้านเมืองสวยงาม ระบบการจ่ายไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น ไร้ปัญหาไฟดับ ติดขัด ลัดวงจร แต่ไม่เห็นด้วยตรงที่งบประมาณถึงกว่า 1.4 แสนล้านนั้นสูงเกินไป

"ผมอยากเห็นการบูรณาการร่วมกัน ไหนๆก็จะทำ ทำไมไม่คุยกับหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ แล้วทำท่อให้ใหญ่ไปเลย ยัดทั้งท่อประปา สายไฟฟ้าลงไปด้วย เหมือนที่ประเทศมาเลเซีย ท่อใหญ่มากขนาดที่รถเข้าวิ่งได้ น้ำท่วมก็ระบายน้ำได้ แบบนี้ถึงจะใช้ประโยชน์ได้คุ้มค่า ไม่ใช่มีแต่สายไฟอย่างเดียว"

นี่คือก้าวแรกของการแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าลงดิน ภายใต้งบประมาณ 143,092 ล้านบาทที่ประชาชนต้องจับตามอง ห้ามกระพริบ

"จัดระเบียบสายไฟลงดิน"...ฝันที่เป็นจริงของคนกรุง?


 

ข่าวล่าสุด

ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลบ กังวลเงินทุนด้านเอไอกดดันหุ้นเทคโนโลยี