ถอนพาสปอร์ตจาตุรนต์ เชือดไก่สกัดกลุ่มต้านรธน.
เข้าตำรา “เชือดไก่ให้ลิงดู” กับการยกเลิกหนังสือเดินทางทุกฉบับของ จาตุรนต์ ฉายแสง
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เข้าตำรา “เชือดไก่ให้ลิงดู” กับการยกเลิกหนังสือเดินทางทุกฉบับของ จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทย รักไทย หลังเปิดหน้าวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
จากแผลเก่าด้วยสถานะผู้ต้องหาในคดีขัดคำสั่ง คสช.ที่ไม่เข้ารายงานตัวในการกระทำการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ หรือละเมิดกฎหมายแผ่นดินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และถูกรวบตัวระหว่างการร่วมปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ต่อด้วยแผลใหม่กับการออกมาแสดงความคิดความเห็นกระทุ้งรัฐบาล คสช.ไปหลายดอก จนกระทั่งมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” เมื่อจาตุรนต์โพสต์
เฟซบุ๊กส่วนตัวถล่มร่างรัฐธรรมนูญในหลายแง่มุมอย่างดุเดือด
“...ถ้าปล่อยให้ร่างอุบาทว์นี้ผ่านไปแล้วไปตกในขั้นประชามติ สปช.ชุดนี้จะหนีความรับผิดชอบทางการเมืองพ้นหรือ
...ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้น่าจะผ่านประชามติยากกว่าฉบับปี 50 มาก เพราะมีเนื้อหาเผด็จการชัดแจ้งและเป็นการต่ออายุ คสช.ไม่มีกำหนด ทั้งยังแก้ไม่ได้ด้วย
...ตามร่างนี้ คสช.จะสืบทอดอำนาจต่อไปอีกนาน คุณประยุทธ์จะไปเป็นประธาน คปป.หรือไม่ ยังไม่มีใครบอกได้ ขึ้นกับว่าเวลานั้นยังมีอำนาจทางทหารหรือไม่
...ร่างรัฐธรรมนูญนี้จึงเป็นร่างเพื่อการสืบทอดอำนาจของ คสช.ที่จะปกครองประเทศแบบเผด็จการต่อไปอย่างไม่มีกำหนด และเมื่อใช้บังคับแล้วจะไม่มีใครแก้ได้
...หาก สปช.ผ่านด้วยขาดจิตสำนึกผิดชอบชั่วดี ประชาชนก็ต้องร่วมมือกันคว่ำในขั้นลงประชามติ ไม่ต้องห่วงว่าคว่ำแล้วเขาจะอยู่ยาว ไม่คว่ำจะยาวกว่า”
สุดท้ายกระบวนการต่างๆ จึงไหลลื่นไปตามขั้นตอน ตั้งแต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ชงเรื่องต่อไปยังกระทรวงการต่างประเทศ เป็นไปตามระเบียบกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ. 2548
เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ ที่ถูกออกหมายจับอีก 6 รายที่อยู่ในคิวเตรียมถูกยกเลิกหนังสือเดินทาง ทั้ง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ จักรภพ เพ็ญแข สุนัย จุลพงศธร ฉัตรวดี อมรพัฒน์ หรือโรส เอกภพ เหลือรา หรือตั้ง อาชีวะ และอรรถชัย อนันตเมฆ
จับทิศทางการขยับของ คสช.รอบนี้ชัดเจนว่านี่เป็นการ “เชือดไก่” ส่งสัญญาณไปยังแกนนำพรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง หรือแม้กระทั่งแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีคดีติดตัว ไม่ให้คิดแข็งขืนหรือออกมาเคลื่อนไหวสร้างปัญหาให้ คสช.
เมื่อแต่ละคดีที่เป็นเสมือนชนักปักหลังของบรรดาแกนนำเหล่านั้นมีโทษรุนแรงถึงขั้นจำคุก แม้จะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ด้วยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในมือ ประธาน คสช.ที่สามารถชี้ขาดเหนือฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ย่อมเป็นเงื่อนไขที่สะกดไม่ให้ใครออกมาลองของ
พร้อมคำถามตามมาว่า อีกหลายคนที่เข้าข่ายที่ควรจะถูกถอนพาสปอร์ตกลับไม่ถูกดำเนินการทั้งที่มีความผิดใกล้เคียงกัน หรือเป็นเพียงเพราะคนเหล่านั้นเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ได้เปิดหน้าออกมาตำหนิการทำงานรัฐบาลและ คสช.
อีกทั้งคนเหล่านี้มีคดีติดตัว การจะออกนอกประเทศย่อมต้องขออนุญาตจาก คสช.อยู่แล้ว การเพิกถอนหนังสือเดินทางจึงแทบไม่มีผลต่อการหลบหนีออกนอกประเทศ
สัญญาจาก “การกระชับอำนาจ” ครั้งนี้ จึงถูกตีความที่ต้องการแสดงให้แกนนำที่เริ่มขยับต้องคิดใหม่ให้รอบคอบกว่าเดิม หลังเริ่มมีบางกลุ่มเปิดหน้าออกมาหยั่งกระแสดูท่าที คสช.
เมื่อวิเคราะห์สาเหตุที่ คสช.ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม เป็นเพราะรัฐธรรมนูญถือเป็นชนวนร้อนที่ค่อนข้างเปราะบาง หากปล่อยให้เกิดการรุมถล่มย่อมมีผลต่อการลงคะแนนในชั้น สปช. และการลงประชามติแล้ว
กระทบไปถึงความน่าเชื่อถือของ คสช.และพานจะทำให้ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกด้านหนึ่ง หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้สามารถผ่านความเห็นชอบและบังคับใช้ได้จริง แต่กลับมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงตั้งแต่ในช่วงนี้ย่อมทำลายน้ำหนัก และจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้งต่อไปในอนาคต
ที่สำคัญที่สุด หากปล่อยให้กลุ่มต่อต้าน คสช.ออกมาเคลื่อนไหวมากเท่าไหร่ ย่อมบั่นทอนทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.มากเท่านั้น ยิ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมืองที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ดังนั้นจึงต้องสกัดไม่ให้เกิดแรงเสียดทานเพิ่มเติม
อีกทั้งมาตรการถอนพาสปอร์ตย่อมไม่ใช่แค่การเชือดไก่ครั้งสุดท้าย ตราบใดที่ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวท้าทายอำนาจรัฐ มาตรการตอบโต้ที่รุนแรงขึ้นย่อมมีตามมาให้เห็นเร็วๆ นี้
แค่กรณีของจาตุรนต์ จะเห็นว่าเวลานี้ยังเดินหน้าเคลื่อนไหวไม่ยอมรับการถอนพาสปอร์ตเพราะเข้าข่ายการตัดรอนสิทธิมนุษยชน พร้อมขอโอกาสได้ชี้แจงรายละเอียดต่อไป
นี่จึงเป็นจุดเปราะบางที่ต้องติดตามต่อไปในอนาคตว่าความพยายามตัดไฟแต่ต้นลมของ คสช.นั้นจะกลายเป็นชนวนปลุกความรุนแรงทำให้สถานการณ์บานปลายร้ายแรงกว่าที่คาดการณ์ก็ได้