แผ่นดินนี้ ศักดิ์สิทธิ์นัก
แผ่นดินไทยนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เป็นดินแดนแห่งพระอรหันต์ในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของผืนแผ่นดินไทยหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยเราก็ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ทุกครั้ง
แผ่นดินไทยนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เป็นดินแดนแห่งพระอรหันต์ในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของผืนแผ่นดินไทยหรือไม่ก็ตาม ประเทศไทยเราก็ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ทุกครั้ง
แม้ประเทศไทยเราจะมีพระอริยะผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่มิใช่น้อยก็ตาม แต่เห็บเหาศาสนาที่แสวงหาประโยชน์จากความศรัทธาของชาวพุทธก็ยังคงมีอยู่ ยิ่งมีพระดีมากเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งมีความศรัทธา ทุ่มเททำบุญบำรุงพระภิกษุเพื่อรักษาพระศาสนาให้คงอยู่ นั่นจึงเป็นโอกาสให้พวกอลัชชีอาศัยความศรัทธาของชาวพุทธแสวงหาประโยชน์ให้ตนเอง พวกอลัชชีจึงมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยตลอดมา และในอนาคตก็จะยังมีอลัชชีเกิดขึ้นควบคู่กันไป
ธัมมชโย เจ้าลัทธิเพ่งลูกแก้ว หนึ่งในคนโกนผมห่มเหลือง ที่ใช้บุญเป็นสินค้า สร้างอาณาจักรจนใหญ่โตคับบ้านคับเมือง จนแม้กระทำผิดธรรมวินัย กระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง แต่ใช้อำนาจบารมี ใช้เศษเงินที่ได้จากการขายบุญ ฟาดหัวนักการเมือง ข้าราชการ จนหลุดรอดมาจนถึงวันนี้
ความยิ่งใหญ่ของธัมมชโยนั้น ยังมีอยู่ในปัจจุบัน ที่แม้แต่ DSI ซึ่งมีอำนาจมากมาย ยังต้องยอมสยบ ต้องเข้าไปนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวในอาณาจักรธรรมกายมาแล้ว และคดีที่เกี่ยวข้องกับการยักยอกเงินสหกรณ์เครดิต ที่ขึ้นต้นดูขึงขัง เอาจริงเอาจัง แต่ช่วงหลังกลับอ่อนแรงเหมือนเทียนถูกไฟลน
ข่าวคราวของธัมมชโย กลับมาดังอีกครั้งเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินมีคำวินิจฉัยว่า ต้องอาบัติปาราชิกตามพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช แล้ว จนเป็นเหตุให้เหล่าสาวกทั้งพระทั้งฆราวาส ยกขบวนออกมาปกป้อง เหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า อ้างว่าคดีจบไปแล้ว
สาวกเหล่านี้ตั้งใจไม่ยอมเข้าใจเหตุผลว่าที่เขาร้องเรียนก็เพราะว่าการจบคดีของผู้เกี่ยวข้องนั้นมันไม่ถูกต้อง เป็นการจงใจทำผิดกฎหมาย ถ้าเจ้าลัทธิเป็นผู้บริสุทธิ์จริง จะกลัวอะไรกับการตรวจสอบ เหมือนทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ เว้นแต่สาวกเหล่านี้จะรู้ดีว่าที่เห็นอยู่นั้น เป็นเพียงทองที่เคลือบตะกั่วเอาไว้เท่านั้น
ผู้ตรวจการแผ่นดินได้หยิบยกทั้งข้อกฎหมาย พระธรรมวินัย ขึ้นมาวินิจฉัยอย่างละเอียดครบถ้วน แล้วนำเสนอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจตามมาตรา 44 พิจารณาดำเนินการต่อไปใน 2 ประเด็น คือ
ประเด็นธัมมชโย ปาราชิกหรือไม่ ประเด็นนี้กรรมการมหาเถรสมาคมในช่วงเวลานั้นนำโดยสมเด็จเกี่ยว (ซึ่งเป็นธรรมกายด้วยกัน) ไม่ยอมดำเนินการใดๆ จนเป็นเหตุให้สมเด็จพระสังฆราชท่านมีพระลิขิตที่มีนัยให้เห็นว่า กรรมการมหาเถรสมาคมปกป้องธัมมชโย คือ พระลิขิตฉบับที่ 6 วันที่ 10 พ.ค. 2542 อันเป็นวันประชุมมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ว่า “ได้แจ้งให้เป็นที่เข้าใจชัดเจนดีทั่วกันแล้วก่อนหน้านี้ว่า ในตำแหน่งผู้เป็นสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องอดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย เพื่อเทิดทูนรักษาพระพุทธศาสนาให้พ้นถูกทำลาย สมบูรณ์ดีที่สุดแล้วตามอำนาจ ท่านกรรมการมหาเถรสมาคมทั้งหลายจะทำอะไรต่อไปตามความต้องการ จะไม่มานั่งรับรู้รับฟังในที่ประชุมวันนี้ ที่ 10 พ.ค. 2542”
อ่านพระลิขิตให้ดีๆ จะเห็นความหมายที่พระองค์ท่านสื่อให้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นในมหาเถรสมาคม
ประเด็นการพิจารณาเรื่องปาราชิกนี้ไม่ว่าจะพิจารณาทางพระธรรมวินัยหรือกฎหมาย และแม้จะพยายามตีความอย่างศรีธนญชัยก็ตาม ย่อมหนีตรรกะเดียวกันไม่ได้ว่า ธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกไปแล้ว ยิ่งยอมรับว่าได้คืนทรัพย์ให้กับทางวัด จึงเท่ากับเป็นการรับสารภาพเองว่า ธัมมชโยได้ยักยอกทรัพย์ของวัดไปจริง ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้วินิจฉัยว่า จึงถือว่าพระธัมมชโยย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร เปรียบเหมือนใบไม้เหี่ยวเหลืองหลุดจากขั้วแล้ว ไม่อาจเขียวสดต่อไปได้ ด้วยเหตุนี้พระธัมมชโยย่อมต้องอาบัติปาราชิกขาดจากความเป็นพระภิกษุตามพระลิขิต ทั้งนี้มหาเถรสมาคมมีหน้าที่สนองพระลิขิต แต่ปรากฏว่าในการประชุมครั้งที่ 16/2542 ได้มีการติดตามผลการดำเนินงานตามพระลิขิตเพียงเรื่องเดียว คือ ติดตามรับมอบและคืนที่ดินอันเป็นของวัดพระธรรมกายเท่านั้น ส่วนประเด็นพระวินิจฉัยของพระสังฆราช ว่าพระธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ มิได้มีการดำเนินการแต่อย่างใด
ผู้ที่ต้องรับผิดชอบตามประเด็นนี้ คือ มหาเถรสมาคม และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในสมัยนั้น ซึ่งทำหน้าที่เลขานุการ มีหน้าที่นำเสนอเรื่องให้มหาเถรสมาคมพิจารณา
ประเด็นที่สอง เป็นประเด็นที่นักกฎหมายยังค้างคาใจกันอยู่ คือ กรณีที่นายพชร ยุติธรรมดำรง อัยการสูงสุดเมื่อปี 2549 มีคำสั่งเปลี่ยนตัวพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน แล้วมี
คำสั่งให้ถอนฟ้องคดีที่พนักงานอัยการฟ้องธัมมชโย ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงาน (ตำแหน่งเจ้าอาวาส) ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งได้สืบพยานกันมา 7 ปี จนจะเสร็จการพิจารณาอยู่แล้ว โดยอ้างเหตุผล 2 ประการ คือ ธัมมชโยได้คืนทรัพย์แล้ว ได้สอนถูกต้องแล้ว และเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติ
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ระบุไว้ในคำวินิจฉัยว่า เคารพในหลักการที่อัยการต้องมีอิสระในการพิจารณาสั่งคดี แต่การสั่งคดีต้องเป็นไปโดยเที่ยงธรรมสุจริต โดยวินิจฉัยไว้ว่า การที่อดีตอัยการสูงสุดอ้างว่าพระธัมมชโยได้ยอมมอบทรัพย์สินเป็นที่ดินและเงินจำนวน 959,300,000 บาท คืนให้กับวัดพระธรรมกายถือเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของพระสังฆราชฯ โดยครบถ้วนทุกประการแล้วนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำของพระธัมมชโยครบองค์ประกอบความผิด ฐานเบียดบังทรัพย์ของวัดไปเป็นของตนเอง แม้ภายหลังพระธัมมชโยจะนำทรัพย์ที่ยักยอกไปมาคืนให้แก่วัด ก็ถือเป็นเพียงการพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด ไม่อาจทำให้การกระทำความผิดอาญาที่สำเร็จไปแล้วกลายเป็นไม่ผิดไปได้ อีกทั้งพระธัมมชโยใช้เวลานานเกือบ 7 ปี จึงยอมคืนทรัพย์สินโดยไม่ยอมคืนทรัพย์ตั้งแต่มีพระวินิจฉัยตักเตือน
ผู้ตรวจการแผ่นดิน ท่านทำหน้าที่ของท่าน เสนอเรื่องให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจมาตรา 44 ตรวจสอบทั้งสองประเด็น แม้ลุงตู่จะไม่ใช้อำนาจพิเศษ แต่ท่านคงจะใช้กระบวนการกฎหมายปกติดำเนินการต่อไป
แผ่นดินนี้ ศักดิ์สิทธิ์นัก DSI ที่ทำเรื่องสหกรณ์เครดิต ซึ่งเกี่ยวพันถึงธัมมชโย คงต้องสลัดความเกรงกลัว สลัดอะไรก็ได้ที่ขวางกั้นไม่ให้ดำเนินคดีกับธัมมชโยอย่างตรงไปตรงมา และแม้กฎหมายจะตรวจสอบไม่ได้ ไม่ว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลใดๆ แต่ความศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินพระอรหันต์ และกฎแห่งกรรม จะตรวจสอบท่านอย่างแน่นอน


