posttoday

วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย

26 กรกฎาคม 2558

วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย บ้านจะสวยก็เพราะวัดดัดนิสัย บ้านกับวัดผลัดกันช่วยอวยชัย ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง

โดย...สมาน สุดโต

วัดจะดีมีหลักฐานเพราะบ้านช่วย

บ้านจะสวยก็เพราะวัดดัดนิสัย

บ้านกับวัดผลัดกันช่วยอวยชัย

ถ้าขัดกันก็บรรลัยทั้งสองทาง

ภาษิตเตือนใจ ชาวบ้าน และชาววัด ได้ฟังเมื่อไรก็ซาบซึ้งเมื่อนั้น ยิ่งสถานการณ์สุกงอมระหว่างกรมศิลปากรกับวัดกัลยาณมิตร ที่เห็นในขณะนี้ ทำให้ภาษิตบทดังกล่าวมีค่ายิ่ง

จากกรณีที่อธิบดีกรมศิลปากร บวรเวท รุ่งรุจี ลงมือรื้อศาลาราย 2 หลังในวัดกัลยาณมิตร เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2558 โทษฐานไปสร้างของใหม่ในเขตโบราณสถานโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังจากวัดกัลยาณมิตรรื้อถอนศาลาเสวิกุลและศาลาทรงปั้นหยาโบราณสถานที่สร้างมาตั้งแต่ พ.ศ. 2450 ออกแล้วสร้างศาลารายแทน การ
กระทำดังกล่าวเป็นคดีอาญามีโทษทั้งจำทั้งปรับ ตามพระราชบัญญัติ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

ปัญหาการทุบทำลายโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียน และการปลูกสร้างอาคารในเขตโบราณสถานในวัดกัลยาณมิตรมีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2546 เป็นคดีทั้งทางการปกครองและคดีอาญา โดยมีกรมศิลปากรเป็นโจทย์ บางครั้งกรมศิลปากรก็ตกเป็นจำเลยสลับกันไป

เมื่อถูกดำเนินคดี วัดกัลยาณมิตรโดยเจ้าอาวาสได้เคยร้องสอด โดยอ้างมาตรา 17 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2535 ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่ในการบำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นด้วยดี แต่ฟังไม่ขึ้นในศาลปกครองกลาง เพราะวัดได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535

ทั้งนี้ กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนวัดกัลยาณมิตรเป็นโบราณสถานมาตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย. 2492

ส่วนหน้าที่ของกรมศิลปากรคือคุ้มครองป้องกัน อนุรักษ์ บำรุงรักษา ฟื้นฟู สร้างสรรค์ เผยแพร่ จัดการศึกษาค้นคว้าวิจัย พัฒนา สืบทอดศิลปะและทรัพย์สิน มรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ 

เมื่อพิจารณาภาระหน้าที่ของวัดและกรมศิลปากร น่าจะเดินไปด้วยกันราบรื่น เหมือนสายการบินแห่งชาติที่มีสโลแกนว่า smooth as silk ดังที่วัดอื่นๆ ที่เป็นโบราณสถานเดินไปด้วยกันกับกรมศิลปากรโดยไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งๆ ที่แต่ละวัดทำการปรับปรุง บูรณปฏิสังขรณ์ โบราณสถานตลอด ที่เป็นเช่นนี้เพราะทั้งสองฝ่ายคุยกันและอนุวัตรตาม พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องตลอด

ส่วนวัดกัลยาณมิตรทำไมจึงมีปัญหา ผู้เกี่ยวข้องระดับสูงของคณะสงฆ์ เช่น เจ้าคณะ กทม. เจ้าคณะภาค 1 และเจ้าคณะใหญ่หนกลาง รวมถึงมหาเถรสมาคม ต้องหาคำตอบให้ได้ และต้องหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดกับวัดอื่นๆ รวมทั้งวัดกัลยาณมิตรอีกต่อไป เพราะวัดกัลยาณมิตรแห่งเดียวมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนถึง 89 รายการ ที่กรมศิลปากรได้ส่งเจ้าหน้าที่ติดตามดูแลด้วยความเป็นห่วงตลอด

การรื้อโบราณสถานแล้วสร้างใหม่ในวัดกัลยาณมิตร ตามที่กรมศิลปากรบันทึกและแจ้งความดำเนินคดีมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 หรือเพียง 1 ปีที่พระพรหมกวีมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ซึ่งทางวัดก็ไม่ปิดบัง ดังข้อมูลเรื่องงานสาธารณูปการในวัดกัลยาณมิตรที่พิมพ์ในหนังสือประวัติ พระพรหมกวี (พงศ์สันต์ ธมฺมเสฏโฐ ป.ธ.9) เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 2557 ได้ระบุว่าได้ดำเนินการ 28 รายการ เป็นเงิน 280,165,851 บาท เช่น บูรณะศาลาการเปรียญหลังเก่า บูรณะกุฏิคณะ 2 จำนวน 4 หลัง สร้างอาคารอเนกประสงค์เจ้าพระยานิกรบดินทร์ สร้างศาลารายในเขตพุทธาวาส 12 หลัง ราคา 48 ล้านบาท เป็นต้น

ระหว่างที่วัดรื้อและสร้าง รวมทั้งบูรณปฏิสังขรณ์ทั้งเขตสังฆาวาสและพุทธาวาสนั้น กรมศิลปากรเดือดร้อนหนักเช่นกัน เพราะไปขอร้องและแจ้งความแล้วก็ไม่ได้ผล นอกจากนั้นยังถูกคนในตระกูลกัลยาณมิตร ซึ่งเป็นผู้สร้างวัดและบุคคลทั่วไปรวม 33 ราย ฟ้องกรมศิลปากรต่อศาลปกครองกลาง ว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นการกดดัน ส่วนทางวัดก็ไม่ได้ใส่ใจกับหนังสือหรือการดำเนินการใดๆ ของกรมศิลปากร แม้ว่าจะตกเป็นจำเลยในคดีอาญา แต่ก็ไม่กระทบกระเทือน เพราะบางเรื่องบางกรณีอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง

ตามข้อมูลของกรมศิลปากร วัดกัลยาณมิตรมีโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 89 แห่ง แต่วัดรื้อหลายแห่งส่วนมากเป็นกุฏิ ซึ่งกรมศิลปากรแจ้งความดำเนินคดีอาญามาตั้งแต่ พ.ศ. 2546 รวม 16 คดี แต่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง 10 คดี เหลือ 10 คดี

วัดรื้อทำลายโบราณสถาน 26 รายการ อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง 14 รายการ เหลือ 12 รายการ

วัดก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต 15 รายการ แต่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง 3 รายการ คงเหลือ 12 รายการ

เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่อง วัดกัลยาณมิตรจึงกลายเป็นวัดในประะวัติศาสตร์ที่กรมศิลปากรสั่งรื้ออาคารที่สร้างในเขตโบราณสถาน กลายเป็นข่าวดังไปทั่วเมืองไทย แต่ถึงกระนั้นวัดก็ไม่ยอมง่ายๆ ติดประกาศเผชิญหน้ากับประกาศกรมศิลป์ ว่าศาลารายสร้างด้วยเงินบริจาคจากชาวพุทธ เป็นศาสนสมบัติ เป็นสถานที่เรียนที่สอนปริยัติธรรมเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา ใครรื้อ ถือว่าทำลายทรัพย์ จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย   แต่ไม่สามารถยับยั้งอธิบดีกรมศิลปากร บวรเวท ที่ประกาศเดินหน้าได้ การรื้อถอนจึงเริ่มเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 ก.ค. 2558 ซึ่งอธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การทำหน้าที่ของกรมศิลปากรก็คล้ายกับกรมป่าไม้ที่สั่งรื้อรีสอร์ทต่างๆ ที่บุกรุกป่า เพื่อรักษาป่า ถ้ากรมป่าไม้ไม่เด็ดขาด ป่าไม้ก็จะไม่หลงเหลือ การที่กรมศิลปากรรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในเขตโบราณสถาน เช่นที่วัดกัลยาณมิตรก็มีนัยเดียวกัน

วัดกัลยาณมิตร เป็นวัดโบราณ สร้างเมื่อ พ.ศ. 2368 โดยเจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต) ต้นสกุล กัลยาณมิตร ว่าที่สมุหนายก และน้อมเกล้าฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่่ 3 พระราชทานนามว่า “วัดกัลยาณมิตร” และทรงสร้างพระวิหารหลวงและพระประธานพระราชทาน เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ชื่อ พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อโต ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เหมือนกรุงเก่า คือมีพระโตอยู่นอกกำแพงเมือง อย่างเช่นวัดพนัญเชิง

กรณีที่เจ้าอาวาส คือ พระพรหมกวี ซึ่งเป็นพระสังฆาธิการ เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องนี้ ทางกรมศิลปากรได้แจ้งให้กรรมการมหาเถรสมาคมทราบ และเสนอแนะว่าพระสังฆาธิการรูปใด ทำความดีความชอบด้านอนุรักษ์โบราณสถาน สมควรที่จะได้รับการแต่งตั้ง หรือเลื่อนสมณศักดิ์ประจำปีด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาวัดกัลยาณมิตรกับกรมศิลปากร จะเป็นซีรี่ส์ขนาดยาว เพราะวัดก็ไม่ยอม กรมก็ไม่ยอม ผู้เขียนจึงขอเสนอการแก้ปัญหาง่ายๆ ตามหลักการแห่งพระพุทธศาสนา คือให้ผู้เกี่ยวข้องเลิกทิฐิมานะ ตัดอัตตาให้เหลือแต่อนัตตา หันหน้าเข้าหากัน ก็จะลงเอยด้วยดี ตรงกับภาษิตว่า วัดกับบ้านผลัดกันช่วยกันอวยชัย นั่นแล

ข่าวล่าสุด

SME D Bank จัด 'Culture Day' ขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กร "ประสานพลัง-พัฒนาเรียนรู้" สู่การเติบโต