ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ‘สงขลา-กระบี่’ ต้านโรงไฟฟ้าสุดลิ่ม
ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ร่วมกับเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน จัดเสวนาหัวข้อ “ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ประเคนทรัพยากรละเลงลงทุน”
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม ร่วมกับเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน จัดเสวนาหัวข้อ “ขึงพืดการพัฒนาภาคใต้ ประเคนทรัพยากรละเลงลงทุน” เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยข้อมูลเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ประเทศไทยมีไฟฟ้าเพียงพอโดยเฉพาะภาคใต้ที่ไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก
ดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนพัฒนาเมืองเทพา ระบุว่า ในวันที่ 27-28 ก.ค.นี้ จะมีการจัดเวที ค.3 โครงการโรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา ซึ่งคนใน อ.เทพา ไม่ต้องการและอยากให้ยกเลิกไป เนื่องจากมีการบิดเบือนรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และจากประสบการณ์เวที ค.1 เมื่อปี 2557 และ ค.2 เมื่อต้นปี 2558 สะท้อนว่าไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากชาวบ้านจริงๆ
“ก่อนการจัดเวที ค.1 ก็มีความพยายามสกัดกั้นไม่ให้มีการจัดเวทีให้ความรู้เรื่องไฟฟ้า มีการเสนอเม็ดเงินจำนวนมากเพื่อให้รื้อเวที หรือหยุดคัดค้านเวที ค.1 ถ้าไม่ฟังก็ถูกอุ้มหายหรือตายไป และในวันจัดจริงก็มีการเกณฑ์ชาวบ้านจากนอกพื้นที่เข้ามาโดยไม่บอกว่าเป็นเวที ค.1 ส่วนเวที ค.2 ยิ่งไม่รู้เลยว่ามีการจัดเมื่อไร เรารู้อีกทีก็เสร็จสิ้นแล้ว” ดิเรก ย้อนความหลัง
แกนนำชาวบ้าน เชื่อว่า การจัดเวที ค.3 ช่วงปลายเดือน ก.ค.นี้ นอกจากจะรวบรัดให้เร็วขึ้นกว่าเดิม 1 เดือนแล้ว ยังจะเป็นไปในลักษณะเดียวกันกับ ค.1 และ ค.2 คือทหารและตำรวจมาเต็ม และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนพูดเท่าที่ควร จึงอยากขอร้องว่าอย่าให้ชาวบ้านพูดแค่คนละ 5 นาที เพราะเป็นเวทีครั้งสุดท้ายแล้ว
ไม่แตกต่างไปจากสถานการณ์ จ.กระบี่ ที่โครงการโรงไฟฟ้าและท่าเรือขนส่งถ่านหินเดินหน้าเต็มรูปแบบ ธีรพจน์ กษิรวัฒน์ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน เล่าว่า ในวันที่ 22 ก.ค.นี้ จะมีการเปิดประมูลการสร้างโรงไฟฟ้า จ.กระบี่ แม้ว่าขณะนี้อีไอเอของโรงไฟฟ้าและท่าเรือขนส่งถ่านหินอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) และมีช่องโหว่อีกหลายประเด็น ที่สำคัญคือคนในพื้นที่ก็ไม่เคยรู้ว่าเคยมีการจัดเวที ค.2 และ ค.3 ไปแล้ว
ธีรพจน์ ย้ำประเด็นว่า ความพยายามสร้างโรงไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ก็เพื่อรองรับการเปลี่ยนภาคใต้ให้กลายเป็นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แม้แต่การสร้างเขื่อน การสร้างท่าเรือ ในหลายจังหวัดก็เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นหนึ่งของภาพใหญ่ ดังนั้นการสร้างโรงไฟฟ้ากระบี่ จึงเป็นเรื่องของคนใต้ทั้งภาค
ด้าน สันติ โชคชัยชำนาญกิจ นักวิชาการกลุ่มจับตาพลังงาน อธิบายว่า หลังจากคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า พ.ศ. 2558-2579 หรือแผนพีดีพี 2015 ทีมวิชาการได้วิเคราะห์และพบว่าข้อมูลเปิดเผยต่อสาธารณะเพียงบางส่วนเท่านั้น
“ภาพรวมของแผนพีดีพี 2015 มีความล้าหลัง และยังสร้างภาระผูกพันทางการเงินในระยะยาวนับหลายแสนล้านบาทโดยไม่จำเป็น” สันติ สรุปความ
เขาบอกอีกว่า ภาคใต้มีความต้องการใช้ไฟฟ้า 2,683 เมกะวัตต์ ในขณะที่สามารถผลิตได้ 2,881 ซึ่งถือว่าเพียงพอ และเมื่อเทียบกับภาคกลางที่มีความต้องการใช้ไฟฟ้าทั้งหมด 10,440 เมกะวัตต์ แต่มีกำลังผลิตทั้งหมดถึง 22,040 เมกะวัตต์ สะท้อนว่าประเทศไทยมีความมั่นคงด้านไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (พีดีพี) 2015 แล้ว จะพบว่า ในรอบ 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีการสร้างโรงไฟฟ้ารวม 26 โรง กำลังการผลิต 34,443 เมกะวัตต์ ซึ่งเกินความจำเป็นอย่างมาก
“เรากำลังจะลงทุนเป็นแสนล้านในรอบ 25 ปี โดยที่ไม่มีความจำเป็น และในเมื่อแผนพีดีพี 2015 ประเมินไว้ว่า การใช้ไฟฟ้าจะลดน้อยลงเนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี และในแผนใหญ่มีการใส่แนวทางการอนุรักษ์พลังงานเข้าไป คำถามคือเช่นนั้นแล้วทำไมต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม” เขา ระบุ
อาภา หวังเกียรติ หัวหน้าหลักสูตรวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า รัฐบาลทหารรุกคืบโครงการพัฒนาโดยฟังแต่เสียงข้าราชการ ซึ่งอาจถูกกลุ่มทุนผลักดันมาอีกที และท่าทีของนายกรัฐมนตรีก็ชัดว่าเดินหน้าทุกโครงการในแผนพัฒนาภาคใต้แน่
สำหรับการรุกคืบที่อาจารย์อาภาพูดถึง คือ การเดินหน้าโครงการพัฒนาต่างๆ อาทิ โครงการท่าเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล ซึ่งอยู่ระหว่างการทำอีเอชไอเอ โครงการท่าเรือน้ำลึกสงขลา 2 ที่กำลังจะเริ่มเวที ค.1 หลังจากถูกชาวบ้านล้มมาแล้ว โรงไฟฟ้าเทพา จ.สงขลา อยู่ระหว่างจัดเวที ค.3 ท่าเรือชุมพร อยู่ระหว่างจัด ค.2 โรงไฟฟ้ากระบี่ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ คชก. ยังไม่นับโครงการรถไฟรางคู่และท่อก๊าซ 3 เส้นทาง ที่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว
นักวิชาการรายนี้ อธิบายต่อไปว่า โครงการพัฒนาภาคใต้กำลังเดินหน้าอย่างน่ากลัวภายใต้กรอบ คือ พัฒนาภาคใต้ให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมปิโตรเลียมและพลังงานของภูมิภาค นอกจากนี้ยังต้องการให้ภาคใต้เป็นศูนย์กลางขนส่งพลังงานในภูมิภาค เห็นได้จากโครงการสร้างสะพานยุทธศาสตร์เศรษฐกิจพลังงานในภาคใต้ ด้วยระบบขนส่งปิโตรเลียมทางท่อและระบบคมนาคมแบบผสมผสาน เชื่อมโยงระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
“แรกเริ่มแผนพัฒนาภาคใต้ถูกผลักดันจากกลุ่มทุนสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ต่อมาธนาคารใหญ่อย่างธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย (เอดีบี) ก็เข้ามาร่วมมือกับสำนักงานเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อจัดทำแผนแม่บทพัฒนาอุตสาหกรรมภาคใต้ ซึ่งเน้นอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและท่อก๊าซ...”
“...ส่วนตัวมีข้อเสนอซึ่งอาจเป็นไปได้ยาก นั่นก็คือเราควรยกเลิกการใช้แผนพัฒนาภาคใต้ที่ถูกครอบงำโดยทุนต่างชาติ แล้วกลับมาทำแผนกันใหม่โดยอิงฐานทรัพยากรในประเทศ และความต้องการของคนใต้จริงๆ” อาภา กล่าวชัด
อาจารย์ด้านสิ่งแวดล้อม กล่าวอีกว่า ทางเดียวที่จะหยุดยั้งโครงการเหล่านี้ได้ คือ ต้องเปลี่ยนรัฐบาล


