ดิ้นสู้คดียึดสนามบิน "พธม."หนีล้มละลาย
เมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ในการดำเนินการติดตามเพื่อยึดทรัพย์
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
กลายเป็นประเด็นให้ต้องติดตามต่อจากนี้ สำหรับ 13 แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) อาทิ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง, สนธิ ลิ้มทองกุล, พิภพ ธงไชย, สุริยะใส กตะศิลา, สมศักดิ์ โกศัยสุข, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, ศรัณยู วงษ์กระจ่าง, สำราญ รอดเพชร และพวก
จากกรณีที่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแกนนำกลุ่ม พธม.ในคดีบุกยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี 2551 เพื่อขับไล่รัฐบาล “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา
โดยให้จำเลยทั้งหมดชดใช้ค่าเสียหายในเรื่องดังกล่าว เป็นจำนวนเงิน 522 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี ให้กับ ทอท. ท่ามกลางความพยายามของทีมทนายความ พธม. นำโดย “สุวัตร อภัยภักดิ์” ในการยื่นขอฎีกา ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 26 มิ.ย. ที่จำเลยจะต้องนำเงิน 7 ล้านบาท มาวางเป็นค่าธรรมเนียมศาลในการยื่นฎีกา
ทว่า ไม่สามารถทำคำร้องขอให้ศาลพิจารณาเรื่องค่าธรรมเนียมเป็นกรณีอนาถาเพื่องดเว้นการวางเงินค่าธรรมเนียมได้ทัน จนเป็นที่มาให้ “มาลีรัตน์ แก้วก่า” หนึ่งในแกนนำ พธม. ต้องโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประกาศระดมทุนจากมวลมหามิตรช่วยเหลือแกนนำ เพื่อให้ได้รอดบ่วงจากการถูกฟ้องร้องให้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย
ประพันธ์ คูณมี หนึ่งในทีมทนายความ พธม.เปิดเผยแนวทางต่อสู้คดีความหลังจากนี้ว่าจะเป็นไปตามข้อเท็จจริง และจะใช้มาตรา 23 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อขอขยายเวลาฎีกาออกไปอีก 30 วัน โดยจะยื่นภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นไปตามอำนาจของกฎหมายที่ให้ไว้
นอกจากนี้ เรื่องดังกล่าวเป็นคดีความแพ่งที่ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้ว แต่ระหว่างนั้นอัยการได้มีการส่งเรื่องในประเด็นเกี่ยวกับคดีอาญาเข้ามาเพิ่มเติม ซึ่งยังค้างการพิจารณาอยู่ในชั้นศาล ดังนั้นทางกฎหมายจำเป็นต้องพิจารณาคดีความอาญาให้เสร็จสิ้นก่อนถึงจะพิจารณาคดีความแพ่งได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจวิธีการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เจ้าหน้าที่ได้มีการส่งหมายโดยวิธีปิดหมาย คือ ส่งไม่ตรงกับภูมิลำเนาที่จำเลยอยู่ ทำให้จำเลยไม่สามารถทราบถึงวันเวลาในการขึ้นต่อสู้คดีในชั้นศาลได้ ทั้งที่เรื่องดังกล่าวถือเป็นประเด็นสำคัญ ดังนั้นจะใช้แนวทางดังกล่าวต่อสู้คดีครั้งนี้
ขณะที่ วันชัย สอนศิริ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้มุมมองด้านกฎหมายต่อประเด็นดังกล่าวว่า หลังจากศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งผู้ที่ตกเป็นจำเลยต้องมีหน้าที่ชดใช้ค่าเสียหาย ดังนั้นกระบวนการจากนี้ไปเป็นหน้าที่ของฝ่ายโจทก์ ก็คือ ทอท.
โดยมีหน้าที่ไปติดตามยึดทรัพย์จากฝ่ายจำเลย ด้วยการ 1.สืบเสาะแสวงหาว่าจำเลยมีทรัพย์สินหรือไม่ 2.หากพบว่าใครมีทรัพย์ฝ่ายโจทก์ก็ต้องไปทำการยึดทรัพย์ 3.เมื่อโจทก์ยึดทรัพย์มาได้แล้วก็นำขายทอดตลาด เพื่อนำมาเป็นเงินชดใช้
และ 4.หากนำทรัพย์สินที่ยึดมาได้ไปขายทอดตลาดแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอในการชำระค่าเสียหายที่เกิดขึ้น ทอท.ในฐานะเป็นโจทก์ก็สามารถยื่นฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายได้ ตามอายุความไม่เกิน 10 ปี หลังจากศาลมีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว
“เมื่อศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ในการดำเนินการติดตามเพื่อยึดทรัพย์ หากยึดมาแล้วเพียงพอชดใช้ค่าเสียหายก็จบไป แต่หากยึดแล้วไม่เพียงพอก็สามารถฟ้องเป็นบุคคลล้มละลายได้ หรือจะไม่ดำเนินการอะไรเลยก็ได้ ทั้งหมดอยู่ที่ดุลยพินิจของโจทก์เอง”
อย่างไรก็ดี ผู้สื่อข่าวได้พยายามติดต่อสอบถามความเห็นจากแกนนำกลุ่ม พธม.ต่อประเด็นดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม เนื่องจากเกรงว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อรูปคดี โดย สุวัตร และ มาลีรัตน์ ระบุสั้นๆ ว่าจะมีการแถลงข่าวของทีมกฎหมายในเร็วๆ นี้
สำหรับคดีความดังกล่าวได้เป็นโจทก์ยื่่นฟ้อง พล.ต.จำลอง พร้อมกับพวก ซึ่งเป็นแกนนำกลุ่ม พธม. รวม 13 คน ในคดีหมายเลขดำที่ 6453/2551 ซึ่ง ทอท.ให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากจำเลยร่วมกับกลุ่มผู้ชุมนุมหลายหมื่นคนได้ไปบุกยึดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมือง ระหว่างวันที่ 24 พ.ย.-3 ธ.ค. 2551


