คนไทยกับภัยคอมมิวนิสต์
“ประเทศไทยอาจเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้า คสช.ปฏิรูปประเทศไม่ได้”
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
“ประเทศไทยอาจเป็นคอมมิวนิสต์ ถ้า คสช.ปฏิรูปประเทศไม่ได้”
ผู้เขียนรับฟังประโยคนี้มาจากอาจารย์อาวุโสท่านหนึ่ง ซึ่งตอนแรกก็ยังจับประเด็นไม่ได้ แต่พอท่านได้อธิบายเพิ่มเติมแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะสิ่งที่ท่านพูดขึ้นนี้สะท้อนถึง “ความเปราะบาง” อย่างหนึ่งในสังคมไทย นั่นก็คือ “ความเหลื่อมล้ำ” ที่กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทยในเวลาต่อไปข้างหน้าอีกไม่นานนี้
ท่านอธิบายว่า เมื่อ 50 ปีที่แล้ว คอมมิวนิสต์ได้ก่อสงครามกับรัฐไทย นั่นก็คือวันเสียงปืนแตกเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2508 โดยการโฆษณาชวนเชื่อที่ใช้ ก็คือ “การกดขี่ข่มเหง” จากข้าราชการและ
ผู้มีอำนาจทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จอีก 8 ปีต่อมาคือหลังเหตุการณ์วันที่ 14 ต.ค. 2516 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงได้ปรับมอตโตของการต่อสู้มาเป็นการแสวงหา “เสรีภาพ”ซึ่งก็ได้มวลชนในระดับปัญญาชนเข้ามาอีกมาก โดยได้พยายามต่อสู้ในแนวทางนี้มาจนถึงหลังเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค. 2519 ที่มีแนวร่วมจากหลายๆ ภาคส่วนมาเพิ่มในการต่อสู้ ภายใต้คำขวัญ “ขวาพิฆาตซ้าย”
สำหรับท่านที่มีความรู้หรือเคยศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการคอมมิวนิสต์ในสังคมไทยอาจจะพอรู้ว่า คอมมิวนิสต์ของไทยนั้นมี 2 สาย คือ สายพิราบกับสายเหยี่ยว โดยสายพิราบก็คือพวกเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์ ปรับเปลี่ยนให้คนเป็นคอมมิวนิสต์ด้วยการศึกษาอบรมและใช้จิตวิทยามวลชน ในขณะที่สายเหยี่ยวจะเน้นการสู้รบ การสร้างสถานการณ์ และการก่อวินาศกรรม หรือความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการประกาศสงครามสู้รบอย่างเปิดเผยนั้นด้วย
อาจารย์ท่านนี้บอกว่า ความพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมีสาเหตุ 3-4 ประการ นอกจากความขัดแย้งทางแนวคิดของสายเหยี่ยวกับสายพิราบแล้ว ก็ยังมีสาเหตุมาจากการจับจุดที่ผิดพลาดในปมความขัดแย้งที่คิดจะสร้างความเกลียดชังให้กับประชาชนต่อข้าราชการ เพราะข้าราชการสามารถปรับตัวสนองประโยชน์ได้กับทุกๆ ฝ่าย โดยหลังจากที่มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2518 ก็ได้ร่วมมือกับนักการเมืองมาเอาใจประชาชน ภายใต้นโยบายประชานิยมยุคนั้นคือ “เงินผัน” แต่ว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดในความล้มเหลวของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ก็คือไม่อาจจะเอาชนะความจงรักภักดีที่คนไทยมีต่อพระเจ้าอยู่หัวนั้นได้ เพราะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของคนไทยให้เกลียดชังสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนสาเหตุที่ว่า คอมมิวนิสต์ “อ่อนแรงลง” เพราะนโยบาย 66/2523 นั้นก็เป็นเพียง “ปลายน้ำ” ที่ออกมากอบกู้ให้คนที่ไปเข้าด้วยกับพรรคคอมมิวนิสต์ได้มีทางออกหรือกลับเนื้อกลับตัว แต่ไม่ใช่จุดเปลี่ยนที่ทำให้แนวคิดคอมมิวนิสต์ “เสื่อมถอย” ไปจากสังคมไทย
สุดท้ายอาจารย์ท่านนี้ได้พูดออกมาตรงๆ ว่า ผู้ที่เชื่อมั่นในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ยังไม่ละความพยายามที่จะยึดครองประเทศไทย อย่างที่ได้เห็นในสมัยการปกครองของอดีตนายกรัฐมนตรีขวัญใจรากหญ้าคนดังที่คนกลุ่มนี้เกือบจะฉวยโอกาสนั้นได้สำเร็จ แต่เผอิญพลาดท่าเพราะความผิดอย่างมหันต์ที่คิดจะทำให้ “กษัตริย์เสื่อม” ซึ่งกลับกลายเป็นว่าหัวหน้าของพวกเขานั้นเสื่อมไปเสียเอง ถึงขั้นที่อาจจะไม่มีก้อนดินในแผ่นดินไทยเอาไว้ฝังกลบหน้า
อาจารย์ท่านนี้ยังวิเคราะห์ต่อไปได้อย่างน่าสนใจในประเด็นการเปรียบเทียบรัฐประหารระหว่างครั้งวันที่ 19 ก.ย. 2519 กับ 22 พ.ค. 2557 ว่า แม้จะมีเป้าหมายคล้ายๆ กัน แต่กระบวนการและวิธีดำเนินการที่จะไปสู่เป้าหมายดังกล่าวนั้นต่างกัน ในส่วนของเป้าหมายที่คล้ายกันนั้น ก็คือการกำจัดนักการเมืองเลวๆ และระบอบการเมืองชั่วๆ แต่ของ คมช.โดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมุ่งตรงมากกว่า คือระบุออกมาอย่างชัดเจนถึงตัวคนที่ต้องกำจัด รวมถึงระบอบที่ต้องทำลายที่เรียกกันมาก่อนหน้านั้นว่า “ทุนนิยมสามานย์” จนถึงขั้นที่ตั้ง คตส.ขึ้นมาตรวจสอบการทุจริต ยึดทรัพย์สิน และส่งเรื่องขึ้นสู่ ป.ป.ช.และศาล อย่างที่กำลังดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องในหลายๆ คดีนั้น
ในขณะที่ คสช.โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจะดู “อ้อมๆ แอ้มๆ” ในการไปสู่เป้าหมายที่แม้จะยังมุ่งกำจัดกลุ่มคนและระบอบที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่ 10 ปีก่อนหน้านั้น แต่ก็ได้อาศัยมายาภาพในเรื่อง “การปรองดอง” ออกมาเป็นฉากกำบังและเกราะปกป้องการกระทำต่างๆ แม้จะมีการสร้างภาพบ้าง เช่น การถอนพาสปอร์ต แต่ก็ยังลังเลที่จะถอดยศกับนายที่เป็นหัวโดยโบ้ยให้เป็นงานของ ผบ.ตร. รวมถึงคดีความต่างๆ โดยอ้างว่ากำลังดำเนินการโดยศาลและ ป.ป.ช.แล้ว แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุด ก็คือการปฏิรูปประเทศที่ทหารคณะนี้ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
นี่แหละที่จะทำให้ไพร่พลของอำนาจชั่วโงหัวขึ้นมาได้อีก
อาจารย์ท่านนี้มีข้อมูลว่า กระบวนการในการคืนชีพของ “ขบวนการสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุคใหม่” ได้ดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอนมาได้ประมาณ 20 ปี พร้อมๆ กันกับที่อดีตนายกฯ คนดังได้ไปเซ้งพรรคพลังธรรมเมื่อ พ.ศ. 2538 แล้วสร้างชื่อเสียงตนเอง “ถีบทะยาน” ขึ้นมาในวงการเมือง เพราะอดีตนายกฯ คนนี้ได้ “เลี้ยงดู” พวกคนเดือนตุลาและ “ซ้ายใหม่” ไว้เป็นจำนวนมาก ทั้งที่อยู่ในบริษัทในเครือข่ายของตน กับที่ได้ให้ทุนสนับสนุนอยู่ในภาคประชาสังคมและ NGO ต่างๆ แต่ที่ร้ายแรงกว่านั้นคือได้วางฐานแทรกซึมเข้าไปในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและผู้มีอิทธิพลในชุมชนต่างๆ นับได้ว่าได้ “บ่มเพาะเชื้อร้าย” ไว้อย่างแนบเนียน ครั้นคนกลุ่มนี้ได้มีอำนาจขึ้นมาภายหลังการเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 จึงโปรยปรายนโยบายประชานิยมต่างๆ ลงไปให้ผสมกับ “เชื้อร้าย” ที่บ่มเพาะไว้นั้น นำมาสู่ขบวนการคลั่งผู้นำผู้วิเศษ จนเกิดการต่อสู้กับรัฐในแนวใหม่ คือมุ่งเป้าที่การทำลาย “สถาบัน” อย่างตรงไปตรงมา รวมถึงการสร้างความแตกแยกในหมู่คนไทย ที่คณะสร้างความสุขจะพยายามมากเพียงใดก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้
การสร้างความแตกแยกในหมู่คนไทยถือเป็น “ยุทธศาสตร์ใหม่” ของปีศาจคอมมิวนิสต์กลุ่มนี้ เริ่มตั้งแต่การออกมาชี้นำว่า ประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะไม่มีความยุติธรรมในการดูแลประชาชน การไม่เข้าร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าไม่อยากร่วมมือกับคณะรัฐประหารที่เป็น “ต้นไม้พิษ” พร้อมกันกับที่กำลัง “ล้างสมอง” มวลชนคนรากหญ้าว่า ผู้มีอำนาจคณะนี้ชอบช่วยแต่อำมาตย์และคนรวย อย่างกฎหมายภาษีมรดกและที่ดินก็ออกไม่ได้
ขณะนี้น้ำแล้ง “พวกแดงฝังราก” ก็ยุให้ชาวบ้านแย่งน้ำกัน


