CSR รพ.เอกชนไทย คืนสู่สังคมอย่างเห็นผลและมีประสิทธิภาพ
การดำเนินการของภาคธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชน นอกจากการให้บริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพแล้ว การดำเนินการภายในกรอบความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility(CSR) ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเป้าหมายสำคัญในการคืนกำไรสู่สังคม โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน
การดำเนินการของภาคธุรกิจของโรงพยาบาลเอกชน นอกจากการให้บริการที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพแล้ว การดำเนินการภายในกรอบความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ Corporate Social Responsibility(CSR) ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำคู่ขนานกันไปด้วย เพื่อเป้าหมายสำคัญในการคืนกำไรสู่สังคม โดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนอย่างยั่งยืน
Corporate Social Responsibility ที่สำคัญก็คือ การช่วยชีวิตที่ ER ที่ผู้รับบริการได้รับจากการดูแลจากผู้ประกอบวิชาชีพ มีหลักที่ว่า หากไม่ควรตายต้องไม่ตาย ไม่ควรพิการต้องไม่พิการ หากจำเป็นต้องให้เลือดรวมทั้งต้องผ่าตัด ต้องไม่ลังเล ตรงนี้ถือเป็นจรรยาบรรณวิชาชีพ นี่เป็นการทำ CSR ของโรงพยาบาลเอกชนมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เอกชนใช้งบในเรื่องนี้มาก (หนี้เสีย 1-5% ของรายได้แต่ละโรงพยาบาล) ภายใต้ระบบ CSR in process ที่อยู่ควบคู่กับการบริการ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการคำนึงถึงการเลือกยา และวิธีการรักษา ที่ต้องไม่มีผลเสียต่อผู้ป่วย คนรอบข้าง สิ่งแวดล้อม และสังคม
ถัดมาเป็นในส่วนของการทำ CSR ประสานงานกับภาครัฐ ที่เห็นเด่นชัดสุด คือการประสานช่วยเหลือกันในเรื่องของทางการแพทย์ ในเหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเกิดมหาอุทกภัย สึนามิ เป็นต้น อย่างเหตุการณ์เกิดมหาอุทกภัย เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา บทบาทของโรงพยาบาลเอกชนในขณะนั้นคือการเข้าร่วมประชุมเครือข่ายทุกวัน เรียกว่าระบบ MACs โดยมีภารกิจในช่วยเหลือรักษา และเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยจากชุมชน และจากโรงพยาบาลที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่ โดยอาศัยศักยภาพของโรงพยาบาลเอกชน ที่มีความพร้อมในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อาทิ รถแอมบูแลนซ์ ตลอดจนการลำเลียงทางอากาศ โดยอาศัยเฮลิคอปเตอร์ (Sky ICU) เป็นต้น
นอกจากนั้น ยังให้ความร่วมมือ เกี่ยวกับการขอให้อาสาสมัครจากมูลนิธิต่างๆ มาอยู่ในโรงพยาบาล โดยโรงพยาบาลจัดหาที่พัก และอาหาร 3 มื้อ ไว้ให้บริการ รวมทั้งหนุนเสริมในส่วนของ รถและเรือในการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ ตลอดจนการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย อีกด้วย พร้อมกันนี้ยังให้มีการจัดตั้งศูนย์สาขาของสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ ในโรงพยาบาลเอกชนที่เป็นเครือข่ายอีกด้วย และในปัจจุบัน สถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน ได้เตรียมความพร้อม โดยฝึกทีมชุดปฏิบัติการ ด้านการแพทย์ฉุกเฉิน เพื่อการตอบโต้ภัยพิบัติ (Disaster Medical Emergency Response Team : DMERT) โดยทีมหนึ่งในนั้น มีมาจากโรงพยาบาลกรุงเทพด้วย
ภาพรวมต่อความเสียหายต่อการเกิดมหาอุทกภัยในครั้งนั้น มีประชาชนได้รับผลกระทบจำนวน 12.8 ล้านคนใน 65 จังหวัด เสียชีวิต 813 คน สูญหาย 3 คน ผู้ป่วย ฉุกเฉินได้รับการลำเลียงเคลื่อนย้ายจำนวน 1,068 เที่ยว จำนวนผู้ป่วย 2,046 คน และไม่มีผู้ป่วยเสียชีวิตแม้แต่รายเดียวจากการเคลื่อนย้าย (ข้อมูลจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน 2554) ซึ่งเกิดจากการประสานความร่วมมือกันระหว่างโรงพยาบาลเอกชนกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพ นั่นเอง
การทำ CSR ของโรงพยาบาลเอกชนไทย ไม่ได้จำกัดเฉพาะเหตุการณ์สำคัญๆ เท่านั้น แต่ในเหตุการณ์ปกติ โรงพยาบาลเอกชน ก็ได้มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำ Campaign เช่น โรงพยาบาล บำรุงราษฏร์ ได้จัดทำโครงการผ่าตัดเด็กโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดผู้ด้อยโอกาสมาตั้งแต่ปี 2546 ซึ่งปัจจุบันผ่าตัดเด็กไปแล้วกว่า 700 ราย ส่วนโรงพยาบาลมหาชัยได้จัดทำโครงการผ่าตัดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ เช่นเดียวกับโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่ร่วมกับโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคมและโรงพยาบาลศูนย์ จังหวัดอุดรธานี จัดทำโครงการผ่าตัดปากแหว่งเพดานโหว่ให้กับผู้ป่วยในภาคอีส่าน รวมถึงโรงพยาบาลศุภมิตร สุพรรณบุรีก็ได้จัดทำโครงการ ผ่าตัดต้อกระจกราคาถูกทั้งในกรุงเทพ ฯ ภาคกลาง ภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ซึ่งมียอดผ่าตัดทั้งหมดกว่า 200, 000 ดวงตา เป็นต้น โดยมีความร่วมมือจากสาธารสุขในพื้นที่นั้นๆ และในบางครั้งได้มีการประสานไปยังแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาร่วมดำเนินการในส่วนนี้ด้วย ซึ่งผลตอบรับจากประชาชนดีมาก
รวมทั้งยังมีการติดต่อประสานงานไปยัง มูลนิธิต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มูลนิธิเด็กด้อยโอกาส โดยโรงพยาบาลเอกชน เข้าไปช่วยเหลือในเรื่องของอุปกรณ์พื้นฐานทางการแพทย์ อาทิ รถเข็น ไม้ค้ำยัน เตียงนอน เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือการขาดแคลน นอกจากนั้น การCSR ของโรงพยาลเอกชน ก็ไม่ได้จำกัดในเฉพาะภายในประเทศเท่านั้น อย่างล่าสุดการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ประเทศเนปาล โรงพยาบาลเอกชน ได้เข้าไปช่วยเหลือในส่วนของเต้นท์แก่ผู้ประสบภัยรวมไปถึง การส่งบุคคลกรอาสาสมัครทางการแพทย์เข้าไปช่วยเหลืออีกด้วย
นอกจากนั้นในส่วนของ การทำประกันสังคมของผู้ประกันตน ก็นับว่าเป็นการทำ CSR กับทางภาครัฐเช่นกัน ซึ่งทางโรงพยาบาลเอกชน ก็ให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นอย่างดี ตั้งแต่เริ่มดำเนินการเมื่อปี พ.ศ.2535 เป็นต้นมา โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกในเรื่องของการรักษาพยาบาล ที่สามารถรองรับผู้ประกันตนมาใช้บริการได้อย่างดี ดังจะเห็นว่า มีผู้ประกันตน เลือกโรงพยาบาลเอกชนในอันดับที่ 1 มากที่สุดด้วยจำนวน 10,543,916 คน คิดเป็น 51% ซึ่งมากกว่าไปรักษากับโรงพยาบาลรัฐ ที่มีอยู่เพียง 49% (อ้างอิงปี 2555 ของสำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม) อีกทั้งมีการยกระดับให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งในเรื่องของ สถานพยาบาลต้องไม่ต่ำกว่าขนาด 100 เตียง มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ และบุคลาการทางการแพทย์รองรับเพียงพอ รวมไปถึงมีการจัดบริการทางการแพทย์ 12 สาขา ซึ่งถูกต้องตามมาตรฐานทุกอย่าง
ส่วนระบบเหมาจ่ายซึ่งเป็นระบบหลักในการจ่ายค่าบริการของประกันสังคม ก็ถือเป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ปริมาณโรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ลดจำนวนลงเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถแบกภาระความเสี่ยงในเรื่องของต้นทุนได้ แม้จะให้มีการเพิ่มเบี้ยประกันตนแล้วก็ตาม จึงเป็นสัญญาณเตือนไปยังสำนักงานประกันสังคม จะเร่งหาทางออก เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ที่อาจส่งผลต่อการเข้ารับบริการของการแพทย์ของผู้ประกันตนได้
การทำCSR ของโรงพยาบาลเอกชน กับความร่วมมือจากภาครัฐ จะเห็นว่า จะมีการทำงานที่ประสานต่อเนื่องแบบคู่ขนานกันไป ก็เพื่อจุดมุ่งหมายสำคัญ คือการทำเพื่อส่วนรวมและสังคม ที่ส่งผลสำคัญต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่เกิดผลอย่างยั่งยืน
โดย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน
“โรงพยาบาลเอกชน”คุณค่าคู่สังคม…ที่ถูกมองข้าม
Advertorial


