จากศูนย์พักพิง9แห่ง สู่พื้นที่ควบคุมโรฮีนจา
เสียงจากฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า ไม่ต้องการรับชาวโรฮีนจาเข้ามาในไทย เพราะจะเป็นภาระในการดูแล
โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์
เสียงจากฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า ไม่ต้องการรับชาวโรฮีนจาเข้ามาในไทย เพราะจะเป็นภาระในการดูแล
พล.อ.อุดมเดช สีหบุตรผู้บัญชาการทหารบก เรียกร้ององค์กรนานาชาติ เห็นใจประเทศไทยเพราะแบกรับภาระมามาก จากสถานที่พักพิงชั่วคราวที่มีอยู่ 9 ศูนย์ตามแนวชายแดนไทย-พม่า ที่มีผู้หลบหนีการสู้รบจากพม่ามายังไทยหลายแสนคน
กล่าวสำหรับ “ศูนย์อพยพ-ค่ายลี้ภัย” ที่พูดกันขณะนี้ มีข้อมูลว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่เคยมี “ศูนย์อพยพ-ค่ายลี้ภัย” ตามความหมายสากล จะมีก็เพียงแต่ “พื้นที่พักพิงชั่วคราว” ที่ดำเนินการโดยองค์กรระหว่างประเทศเท่านั้น รัฐไทยมีหน้าที่แค่ดูแลภาพรวมเท่านั้น
ข้อมูลล่าสุดจาก UNHCR หรือข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ ระบุว่า ปัจจุบันผู้ลี้ภัยที่ลงทะเบียนในประเทศไทยมีจำนวนเกือบ 1.13 แสนคน และผู้ที่ลงทะเบียนขอลี้ภัยอีก 1.25 หมื่นคน ส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อย ชาวกะเหรี่ยง และกะเหรี่ยงแดงจากประเทศพม่า
ผู้ลี้ภัยในประเทศไทยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย จ.แม่ฮ่องสอน ตาก ราชบุรี กาญจนบุรี โดยรัฐบาลไทยดูแลบริหารที่พักพิงทั้งหมด ส่วนความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และ UNHCR
UNHCR มีบทบาทหลักในการให้ความคุ้มครองผู้ลี้ภัยเพื่อให้มีสภาพความเป็นอยู่ที่มั่นคงปลอดภัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตระหว่างที่อาศัยในพื้นที่พักพิงรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร-เครื่องนุ่งห่ม-ยารักษาโรค
ในส่วนของประเทศไทยเองไม่เคยมีการตั้งงบประมาณเพื่อผู้ลี้ภัย-ผู้อพยพไว้ที่กระทรวงใด ดังนั้นการดำเนินการของพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง รัฐไทยสนับสนุนเพียงงบประมาณเฉพาะ “เบี้ยเลี้ยง” ของอาสาสมัคร โดยทั้ง 9 แห่ง มีอาสาสมัครรวมแล้วไม่กี่ร้อยคน และแต่ละรายเบี้ยเลี้ยงเดือนละหลักพันบาท
“ในพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง จะมีหัวหน้าเป็นปลัดอำเภอที่ได้รับการแต่งตั้ง ส่วนอาสาสมัครก็จะช่วยรักษาความปลอดภัยจัดเวรยาม ซึ่งประเทศไทยจะเสียงบประมาณเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงของอาสาสมัครเท่านั้น” สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวย้ำข้อมูล
สุรพงษ์ เล่าอีกว่า ปัจจุบันการดำเนินการขององค์กรระหว่างประเทศเป็นไปอย่างอิสระ รัฐไทยดูแลเฉพาะภาพรวมเท่านั้น นั่นหมายความว่าการระดมเงิน การจัดซื้ออาหาร ยา รวมถึงการจัดส่งต่างๆ เป็นเรื่องขององค์กรระหว่างประเทศแทบทั้งสิ้น
“แม้พื้นที่พักพิงชั่วคราวจะตั้งอยู่มาอย่างยาวนาน แต่สถานการณ์หลังจากนี้อาจจะมีปัญหาบ้าง เนื่องจากหลายประเทศเกิดปัญหาเศรษฐกิจ ทำให้ต้องตัดการช่วยเหลือลงบ้าง ประกอบกับมีพื้นที่ปัญหาใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้ต้องถ่ายโอนความช่วยเหลือจากประเทศไทยออกไป” สุรพงษ์ ให้ภาพ
สำหรับการดำเนินการของพื้นที่พักพิงชั่วคราวทั้ง 9 แห่ง นอกจากช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ยังมีหน่วยงานจัดทำทะเบียนบ้าน-ทะเบียนประวัติ และทยอยส่งต่อไปยังประเทศที่สาม โดยตัวเลขเมื่อประมาณปี 2553 มีผู้พักพิงทั้งสิ้น 1.4 แสนราย และค่อยๆ ลดลงเหลือ 1 แสนราย ในปัจจุบัน
“ในส่วนนี้จะมี UNHCR เป็นผู้ตรวจคัดกรองและประสานกับประเทศที่สาม และมีองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐานทำหน้าที่จัดส่ง” สุรพงษ์ อธิบาย
ทั้ง “ศูนย์อพยพ-ค่ายลี้ภัย” ตามหลักสากล หรือแม้แต่ “พื้นที่พักพิงชั่วคราว” ในข้างต้น ก็ยังแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสนอแนวคิดเพื่อแก้ไขปัญหาชาวโรฮีนจา
สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ เสนอ ก็คือการตั้ง “พื้นที่ควบคุม” ขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งแน่นอนว่าการดำเนินการย่อมไม่เหมือนศูนย์อพยพ หรือพื้นที่พักพิงชั่วคราว
สุรพงษ์ ระบุว่า พื้นที่ควบคุมตามแนวคิดของนายกฯ จะบริหารจัดการโดยรัฐไทยเอง โดยนำชาวโรฮีนจาขึ้นมาตรวจสอบว่าเป็นใครกันบ้าง จะไม่ตั้งธงไว้ว่าเป็นผู้อพยพอย่างเดียว เพราะเขาอาจจะเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ที่เราควรช่วยออกมา หรือเป็นบังกลาเทศที่มีสัญชาติและมีบัตรประชาชนชัดเจน ซึ่งประเทศต้นทางเขาพร้อมจะรับตัวกลับ


