แก้กฎ IHQ ก้าวแรกของไทยในเวทีโลก
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) และการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers : ITC) และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับใหญ่ในรอบ 5 ปี หลังจากที่เคยปรับแก้เพื่อเพิ่มแรงจูงใจมาแล้วก่อนหน้านี้ในปี 2010
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว สำหรับมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการจัดตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศ (International Headquarters : IHQ) และการจัดตั้งบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (International Trading Centers : ITC) และมีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา นับเป็นการปรับใหญ่ในรอบ 5 ปี หลังจากที่เคยปรับแก้เพื่อเพิ่มแรงจูงใจมาแล้วก่อนหน้านี้ในปี 2010
เพื่อไม่ให้เสียเวลาอีก หลังจากที่ปล่อยโอกาสให้หลุดไปอยู่ในมือคู่แข่งมานานหลายปี รัฐบาลได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เรียกหอการค้าต่างประเทศในไทยทุกแห่งมาประชุมทันที ในช่วงกลางเดือน พ.ค.นี้ เพื่อชี้แจงรายละเอียดใหม่ๆ ของมาตรการทางภาษีและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่จะได้รับ หากธุรกิจต่างชาติเลือกที่จะเปิด IHQ หรือ ITC ในประเทศไทย
การปรับเปลี่ยนครั้งนี้นับว่าเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่น่าจูงใจขึ้นในหลายด้าน และเพิ่มความยืดหยุ่นให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากขึ้น อาทิ ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 10% ลดภาษีเงินได้บุคคลสำหรับคนต่างด้าวที่ทำงานใน IHQ และ ITCเหลือ 15% ยกเว้นภาษีเงินปันผล และยกเว้นรายได้จากการจัดซื้อและขายสินค้าในต่างประเทศที่มิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย (Out-out)
ที่สำคัญ ยังเบลนด์มาตรการให้เป็นเนื้อเดียวกันระหว่างสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาค (ROH) กับศูนย์บริหารจัดการการเงิน (Treasury Center) เพื่อรองรับการค้าและการลงทุนของบริษัทข้ามชาติแบบครบวงจร เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารเงิน และลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ จากเดิมนั้นข้อจำกัดที่ไทยไม่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการตั้งศูนย์บริหารเงิน ทำให้มีบริษัทเอกชนเปิดศูนย์บริหารเงินในไทยเพียงแค่ 4 แห่งเท่านั้นในรอบ 10 ปีมานี้ ส่วนใหญ่นิยมไปตั้งที่ สิงคโปร์หรือฮ่องกงมากกว่า
กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ กล่าวว่า
ที่ผ่านมาเงื่อนไขภาษีของไทยที่โหดกว่า
ประเทศอื่นๆ เช่น การเก็บภาษี Out-out หรือเก็บภาษีบริษัทไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ ทำให้บริษัทไทยหลายแห่งที่ต้องการไปลงทุนในต่างแดนหรือในอาเซียน ต้องออกไปตั้งบริษัทโฮลดิ้งในสิงคโปร์ก่อน เพื่อใช้เป็นฐานในการไปลงทุนต่อในอาเซียน
ทั้งนี้ ไทยมีอัตราการขอตั้งสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศของบริษัทขนาดใหญ่ไม่ถึง 200 บริษัท เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ ซึ่งมีถึงกว่า 2,000 บริษัท หรือในมาเลเซียที่มีมากกว่า 800 บริษัท ในทางปฏิบัติจริงจึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งสถานะฮับจากเพื่อนบ้านได้
บริษัท ทาวเวอร์ส วัตสัน เคยเปิดเผยรายงานก่อนหน้านี้ว่า สิงคโปร์มีสัดส่วนสำนักงานใหญ่ข้ามประเทศถึง 41% ของบริษัทในเอเชียแปซิฟิก ในจำนวน 319 บริษัทชั้นนำของกลุ่มฟอร์จูน 500 โดยมีความได้เปรียบในด้านภาษี ถูก นโยบายเป็นมิตรกับธุรกิจ มีโคงสร้างพื้นฐานพร้อม แรงงานมีฝีมือและใช้ภาษาอังกฤษได้ รวมถึงยังมีมาตรฐานการครองชีพที่ดี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยก็มีปัจจัยดึงดูดใหม่ๆ ที่จะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันได้มากขึ้นหลังจากนี้ก็คือ การรวมตัวกันของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม(ซีแอลเอ็มวี) ที่กำลังจะเป็นศูนย์กลางการผลิตแห่งใหม่ในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจากเอเชีย
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นได้ประกาศนโยบาย ไทยแลนด์ พลัส วัน หรือไทยพ่วงซีแอลเอ็มวี โดยเป็นการขยายฐานการผลิตไปในประเทศใดประเทศหนึ่งของซีแอลเอ็มวี และให้ไทยเป็นศูนย์กลางของการเชื่อมต่อนี้ ซึ่งปัจจุบันกลุ่มทุนของญี่ปุ่นเดินหน้าตามยุทธศาสตร์นี้มากขึ้น เช่น การขยายฐานผลิตบางส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์ในลาว และรัฐบาลญี่ปุ่นยังผลักดันให้กลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยเฉพาะพวกซัพพลายเชนของธุรกิจใหญ่ ขยายฐานตามรอยเข้ามามากขึ้น
กิติพงศ์ กล่าวว่า มาตรการทางภาษีเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถดึงดูดนักลงทุนจากตะวันตกได้ทั้งหมด เนื่องจากยังมีประเด็นใหญ่เรื่องเสถียรภาพทางการเมืองและการเลือกตั้ง เป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจด้วย แต่ไทยน่าจะดึงดูดกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นได้ดี จากปัจจุบันที่มีการให้สิทธิพิเศษทางการค้าและการลงทุนมากอยู่แล้ว
ภายใต้ส่วนหนึ่งของข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และไทยยังมีข้อได้เปรียบสำคัญเรื่องค่าครองชีพต่ำ และต้นทุนราคาถูก
จากการตรวจสอบพบว่า ปัจจุบันมีนักลงทุนต่างชาติยื่นขอตั้ง IHQ กับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แล้ว 7 ราย จากที่สนใจทั้งหมด 15 ราย
ขณะเดียวกัน ไทยยังมีการปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายด้านเพื่อส่งเสริมขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัล ที่จะมีการลงทุนด้านไอทีตามมาอีกมหาศาล หรือการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่นเดียวกับความพยายามแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ที่มีการพยายามอุดช่องโหว่ลงไปในร่างรัฐธรรมนูญในหลายด้านด้วยกัน รวมถึงการปฏิรูปการเมือง ที่ถือเป็นปัญหาระดับรากฐานของประเทศไทย
ทั้งหมดนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว และเป็นตัวตัดสินในท้ายที่สุดว่า ประเทศไทยจะเป็นได้เพียงฐานการผลิตให้ต่างชาติ หรือสามารถยกระดับขึ้นไปเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุนในภูมิภาคแห่งนี้ได้หรือไม่


