จ้างมโนราห์ 6 หมื่นรำแก้บนหลังบ้านเมืองสงบ
2 ตายายชาวตรัง จ้างมโนราห์โบราณ 4 คณะ 6 หมื่นบาทรำแก้บนถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองไว้ได้
2 ตายายชาวตรัง จ้างมโนราห์โบราณ 4 คณะ 6 หมื่นบาทรำแก้บนถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองไว้ได้
นางสายพิน หรือป้านงค์ สุขคุ้ม อายุ 65 ปี พร้อมกับ นายวิสุทธ์ สุขคุ้ม อายุ 66 ปี สามี อยู่บ้านเลขที่ 152 หมู่ที่ 8 ตำบลนาข้าวเสีย อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ซึ่งเป็นคนว่าจ้างมโนราห์ 4 คณะ มารำแก้บนในครั้งนี้ด้วยเงินส่วนตัว เพื่อแลกกับความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยเงินค่าจ้างรวมจำนวนถึง 60,000 บาท ก่อนหน้านี้ครอบครัวของ 2 ตายายและชาวตรังเคารพนับถือ และตามที่ 2 ตายายได้บนบานสานกล่าวเอาไว้ ช่วงที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กำลังชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล จนกลายเป็นการจราจลก่อการร้ายในที่สุด เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
โดยได้มีการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวขึ้น นับตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีข้าราชการ และประชาชนที่ทราบข่าว มาเฝ้าติดตามชมการรำมโนราห์โบราณดังกล่าวกันเป็นจำนวนมากนับพันคน เพราะปกติจะเป็นเรื่องที่หาชมได้ยาก หลังจากทราบว่า 2 ตายายดังกล่าวว่าจ้างมโนราห์ 4 คณะ มารำแก้บนในครั้งนี้ด้วยเงินส่วนตัว เพื่อแลกกับความสงบสุขของบ้านเมือง ด้วยเงินค่าจ้างรวมจำนวนถึง 60,000 บาท
ทั้งนี้ ประชาชนชาวตรังที่มาชมมโนราห์แทงเข้ในครั้งนี้ ต่างก็ได้ช่วยกันบริจาคเงินคนละเล็กคนละน้อย ตั้งแต่ 20 บาท 100 บาท 500 บาท หรือ 1,000 บาท ตามกำลังศรัทธา เพื่อได้มีส่วนร่วมกับพิธีศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว และช่วยเหลือ 2 ตายายสามีภรรยาด้วย
นอกจากนั้น ยังได้มี นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยสมาชิกสภา อบจ.ตรัง เขตอำเภอนาโยง อำเภอย่านตาขาว อำเภอปะเหลียน ซึ่งเมื่อทราบข่าวก็ได้รวบรวมเงินจากประชาชนในพื้นที่ มามอบให้กับป้านงค์ ด้วย เป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท
นางสายพิน หรือป้านงค์ เล่าถึงสาเหตุที่ได้ว่าจ้างสุดยอดคณะมโนราห์โบราณมารำถวายแก้บนในครั้งนี้ว่า เกิดจากที่ตนเองและสามี ซึ่งติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอด และทราบว่าบ้านเมืองกำลังลำบาก เพราะคนไทยแตกแยกความรักความสามัคคี และกลุ่ม นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ทำการประท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง มีการฆ่ากันตาย มีการเผาบ้านเผาเมือง และก่อการจลาจลจนกลายเป็นการก่อการร้าย ซึ่งวันนั้นตนและสามีซึ่งไม่มีบุตร อาศัยอยู่กันตามลำพัง 2 ตายาย ได้นั่งเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางโทรทัศน์ เห็นบ้านเมืองลุกไหม้เป็นไฟ
นอกจากนี้กลัวว่ากลุ่มผู้ก่อการร้ายจะดำเนินการได้สำเร็จดังนั้น ด้วยความเป็นห่วงบ้านเมือง เป็นห่วงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเป็นห่วงรัฐบาล อยากให้อยู่ต่อเพื่อทำงานแก้ไขปัญหาบ้านเมืองที่เกิดขึ้นให้ได้ รวมทั้งยังเป็นห่วงลูกหลานที่กรุงเทพฯ และอยากให้บ้านเมืองกลับมามีความสงบร่มเย็นดังที่เคยอยู่กันมา เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น จึงทนต่อไปไม่ได้อีกแล้ว และเมื่อมองไปบนหิ้งพระ ก็เห็นตาพราน ครูหมอ ตายาย เทวดา ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองนับถือบูชามาโดยตลอด (ครูหมอหนังตะลุง มโนราห์) ตนจึงลุกขึ้นจุดธูปเทียนบูชา และบนบานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และสิ่งที่ตนนับถือทั้งหมด ช่วยชาติบ้านเมืองด้วย และช่วยพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งขอให้เหตุการณ์สงบ และขอให้รัฐบาลอยู่ทำงานต่อแก้ปัญหาให้ได้ โดยตนและสามี แม้จะไม่มีเงิน ก็จะนำมโนราห์โบราณไปรำถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองชุดใหญ่ ตามแบบโบราณ ที่หน้าศาลากลางจังหวัดตรัง เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน
ป้านงค์ เล่าต่อไปว่า ต่อจากนั้น เหตุการณ์ก็สงบลง จนกระทั่งมีการอภิปรายพรรคประชาธิปัตย์ตามมา และพรรคประชาธิปัตย์ก็สามารถอยู่ต่อทำงานได้ ตนจึงบอกกับสามีว่า สิ่งที่บนบานไว้สำเร็จแล้ว และบ้านเมืองก็สงบแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องไปหาคณะมโนราห์โบราณ มารำถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์หน้าศาลากลางจังหวัดตรัง ตามที่ได้บนบานเอาไว้ จากนั้น ก็ได้ไปหาคนที่นับถือคือ กำนันชะเอม ดำจุติ ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้านจังหวัดตรัง เพื่อขอให้ไปพาไปพบ นายไมตรี อินทุสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง เพื่อขอใช้สถานที่หน้าศาลากลางจังหวัดตรัง เพื่อนำมาคณะมโนราห์มารำแก้บน ซึ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ก็ตกปากรับคำอนุญาตในทันที หลังจากนั้น ก็ได้ไปติดต่อมโนราห์ทั้งหมด 4 คณะ มารำถวายแก้บนดังกล่าว
นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมสมาชิกสภา อบจ.ตรัง จากอำเภอนาโยง อำเภอย่านตาขาว และอำเภอปะเหลียน ซึ่งได้ร่วมกันรวบรวมเงินมาช่วย ป้านงค์ ด้วยนั้น ก็กล่าวว่า เมื่อตนทราบเรื่องจาก ป้านงค์ ที่ไปปรึกษาว่า ได้บนบานให้บ้านเมืองกลับมาสุขสงบดังกล่าว ด้วยค่าจ้างคณะมโนราห์ถึง 60,000 บาท ก็เห็นความตั้งใจจริงของ ป้านงค์ ที่อยากให้บ้านเมืองสงบสุข จึงรับปากว่าจะรวบรวมเงินจากพรรคพวกมาช่วยสัก 20,000 บาท เนื่องจากตนเห็นว่าคนเฒ่าคนแก่ที่มีอายุมากขนาดนี้ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองมายาวนาน และเห็นความสงบสุขของบ้านเมืองมานาน แต่วันหนึ่งต้องมาพบกับความไม่ปลอดภัยของชาติบ้านเมือง ตนจึงรู้สึกเป็นห่วง และพร้อมจะทำทุกอย่าง เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรองดองของรัฐบาลที่กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ และเพื่อช่วยให้ชาติบ้านเมืองของไทยสงบสุขน่าอยู่ตลอดไป


