posttoday

มาตรา 181-182 ของร้อนในร่างรธน.

30 เมษายน 2558

เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่เพิ่งผ่านการอภิปรายของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยังคงเป็นประเด็นร้อนอย่างต่อเนื่อง

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่เพิ่งผ่านการอภิปรายของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยังคงเป็นประเด็นร้อนอย่างต่อเนื่อง โดยความร้อนไม่ได้อยู่ที่เรื่องที่มาของนายกรัฐมนตรี และระบบเลือกตั้งเท่านั้น เพราะล่าสุดประเด็นเล็กน้อยอย่างมาตรา 181 และมาตรา 182 ซึ่งบัญญัติอยู่ในหมวดคณะรัฐมนตรีก็ได้กลายเป็นประเด็นล่าสุดที่หลายฝ่ายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ด้วย

สาระสำคัญของมาตรา 181 คือ การให้นายกรัฐมนตรีสามารถยื่นเรื่องเพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่าจะไว้วางใจให้นายกฯ ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินต่อไปหรือไม่ โดยหากสภาลงมติไว้วางใจนายกฯ ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. นายกฯ ไม่จำเป็นต้องออกจากตำแหน่งแต่สามารถใช้วิธีการยุบสภาแทนได้

ส่วนมาตรา 182 มีใจความสำคัญตรงที่ให้อำนาจนายกฯ เสนอร่างพระราชบัญญัติต่อสภาด้วยการอ้างถึงความจำเป็นของการบริหารราชการแผ่นดินได้ และหาก สส.ไม่ได้ยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ ภายใน 48 ชั่วโมง จะเท่ากับว่าสภาได้ให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญได้บัญญัติเจตนารมณ์ที่ต้องบัญญัติมาตรานี้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรพอสังเขปตรงกันว่า “เป็นบทบัญญัติที่เพิ่มขึ้นใหม่ โดยเป็นมาตรการในการรักษาและเพิ่มเสถียรภาพของรัฐบาล ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือน สส.ที่สังกัดพรรคร่วมรัฐบาลว่า หากไม่ให้ความไว้วางใจรัฐบาลอาจมีการยุบสภา และจะมีผลให้รัฐบาลและสภาสิ้นสภาพลงได้”  

อย่างไรก็ตาม กว่าจะได้สองมาตรานี้ออกมา ปรากฏว่าเกิดการถกเถียงกันในชั้นคณะ กมธ.ยกร่างฯ ครั้งใหญ่ๆ ถึงสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมาระหว่างการประชุมนอกสถานที่พัทยา จ.ชลบุรี ครั้งที่สองเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือน มี.ค.ก่อนส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกให้ สปช.

กมธ.ยกร่างฯ จำนวนไม่น้อยที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการให้มีมาตรานี้ก็มีเหตุผลไม่ต่างจากท่าทีที่ออกมาจาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกฯ และ “สมบัติ ธำรงธัญวงศ์” ประธาน กมธ.ปฏิรูปการเมืองของ สปช. คือ จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้กับนายกฯ มากเกินไป และยังไม่เหมาะสมกับบริบทของสังคมการเมืองไทย

เหนืออื่นใดในเมื่อนายกฯ มีปัญหาจนส่งผลต่อความไว้วางใจก็ควรเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ไม่ใช่ใช้สภามาเป็นเครื่องมือในการหาความชอบธรรม และถึงอย่างไรในทางปฏิบัติ สส.ฝ่ายรัฐบาลในฐานะผู้กุมเสียงข้างมากย่อมอยู่ข้างเดียวกับนายกฯ อยู่แล้ว เนื่องจากต้องการอยู่ในตำแหน่ง สส.ให้นานที่สุด

ขณะที่ฝ่ายเลขานุการคณะ กมธ.ยกร่างฯ ยืนยันต่อที่ประชุมคณะ กมธ.ยกร่างฯ ว่าไม่ได้เป็นการเพิ่มอำนาจและเพิ่มเสถียรภาพให้กับนายกฯ เกินความจำเป็น แต่เป็นเพียงการให้นายกฯ มีเครื่องมือจัดการความขัดแย้งในสภาเท่านั้น ประกอบกับกลไกการตรวจสอบพร้อมกับกลไกการให้นายกฯ ออกจากตำแหน่งได้ที่ออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นหลักประกันเพียงพอที่จะทำให้นายกฯ ไม่กล้าลุแก่อำนาจ

แม้คณะ กมธ.ยกร่างฯ จะยืนยันในหลักการนี้พร้อมกับให้มีมาตรา 181 และ 182 ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรก แต่ด้วยท่าทีของฝ่ายการเมืองและ สปช.หรือแม้แต่รัฐบาลในปัจจุบันผ่าน “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ที่ไม่เห็นด้วยเริ่มมีความเข้มข้น จึงย่อมเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันที่มีผลให้คณะ กมธ.ยกร่างฯ กลับลำในบั้นปลายได้เช่นกัน

ข่าวล่าสุด

วปอ.68 มอบตาข่ายป้องกันโดรน ทิ้งระเบิด และสิ่งของ ช่วยทหารชายแดนภาค 2