ว่าด้วยกัรมะปะ
ช่วงหลังองค์ดาไลลามะเปรยขึ้นบ่อยครั้งว่า อาจจะไม่สืบทอดตำแหน่งผู้นำรัฐและศาสนาของชาวทิเบต ถึงกับเอ่ยว่า
โดย...กรกิจ ดิษฐาน
ช่วงหลังองค์ดาไลลามะเปรยขึ้นบ่อยครั้งว่า อาจจะไม่สืบทอดตำแหน่งผู้นำรัฐและศาสนาของชาวทิเบต ถึงกับเอ่ยว่า อาจจะไม่กลับชาติมาเกิดอีกต่อไป หมายความว่า สายการสืบทอดประมุขพุทธจักรทิเบตอาจสิ้นสุดลงในลำดับที่ 14
ปัญหาก็คือทิเบตมีผู้นำศาสนาเป็นผู้นำทางการเมืองด้วย แนวคิดของดาไลลามะแม้จะร่วมสมัย แต่ยากที่ประชาชนจะยอมรับได้ เพราะเคยชินระบอบนี้มานานกว่า 800 ปีแล้ว อีกทั้งศาสนาพุทธแบบทิเบต มีนิกายยิบย่อยมากมาย เจ้านิกายแต่และสายก็สืบทอดต่อๆ กันมาด้วยระบอบกลับชาติมาเกิดใหม่ เช่นเดียวกับดาไลลามะ ที่สำคัญคือระหว่างนิกายก็มีปัญหาชิงอำนาจเป็นคลื่นใต้น้ำมาตลอด
แต่เดิมทิเบตมีราชันปกครอง ต่อมาผู้นำนิกายเริ่มมีบทบาททางการเมือง กระทั่งเริ่มต้นยุคเจ้านิกายครองแผ่นดิน โดยฮ่องเต้ราชวงศ์หยวนสนับสนุนนิกายสะจะ หรือนิกายหมวกแดง ประมุขนิกายมีอำนาจทั้งทางโลกทางธรรม การสืบทอดผู้กลับชาติมาเกิดองค์ต่อๆ มาต้องรับการรับรองทุกครั้งไป ต่อมายุคราชวงศ์หมิงฮ่องเต้สนับสนุนนิกายกัรมะปะหรือนิกายหมวกดำ ครั้นถึงราชวงศ์ชิง ยุคสาธารณรัฐ ให้การสนับสนุนนิกายเกลุก์ หรือนิกายหมวกเหลือง ขององค์ดาไลลามะ
ครั้นถึงยุคคอมมิวนิสต์ แต่แรกไม่สนับสนุนศาสนา ภายหลังเห็นโอกาสควบคุมทิเบตผ่านประเด็นนี้ จึงสนับสนุนปันเชนละมะ ให้มีอำนาจเหนือดาไลลามะ (นิกายเกลุก์มีประมุข 2 องค์ ปันเชนเป็นประมุขรอง)
เจ้านิกายของทิเบตนั้นต้องได้รับการรับรองจากฮ่องเต้จีนเสียก่อน หาไม่แล้วจะปกครองแผ่นดินไม่ได้ นิกายอื่นจะหาเรื่องชิงอำนาจ แต่แม้จะได้รับพระราชลัญจกรและสุพรรณบัฏจากปักกิ่งแล้วยังถูกท้าทายหลายครั้ง ในระยะหลังจีนแทรกแซงระบบเลือกผู้กลับชาติมาเกิดจนวุ่นวาย รัฐบาลพลัดถิ่นรองรับคนหนึ่ง แต่ทิเบตในเขตจีนยอมรับอีกคน จีนจริงจังกับเรื่องนี้มาก ถึงขั้นหวนกลับมาประกอบพิธีรับรองเหมือนในยุคศักดินาเลยทีเดียว คงรู้แล้วว่า หากคิดจะคุมทิเบตต้องคุมผ่านเจ้านิกาย คุมด้วยกระบอกปืนอย่างเดียวไม่ได้
ผมคาดว่า ดาไลลามะคงจะทรงเห็นว่า หากสิ้นพระชนม์ไปแล้วเริ่มกระบวนการค้นหาผู้กลับชาติมาเกิด เกรงว่าจีนจะฉวยโอกาสตั้งคนของตนขึ้นมา จึงทรงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการเปรยว่าอาจไม่กลับชาติมาเกิดอีก
ปรากฏว่าจีนสวนกลับทันควันว่า ดาไลลามะไม่มีสิทธิสละหน้าที่ในการกลับชาติมาเกิด ซึ่งดูเผินๆ เป็นเรื่องที่พิลึกพิลั่นที่สุดที่รัฐไร้ศาสนากลับขู่เข็ญไม่ให้ผู้นำศาสนาตัดสินใจสละภาระโพธิสัตว์จรรยาของตัวเอง แต่จริงๆ แล้วจีนไม่ได้หวังผลทางศาสนา แต่หวังผลทางการเมือง


