posttoday

โทษทางอักษรศาสตร์

12 เมษายน 2558

ลมเย็นโชย หารู้อักษรไม่แล้วไยเป่า พลิกหน้า หนังสือวุ่น... สวีจวิ้น - ข้าราชการในราชวงศ์ชิงต้องสิ้นชีวิตลงเพราะกลอนบทนี้

&>8165;&&9118;&<9981;&&5782;&>3383;,&>0309;&>4517;&>0081;&&2763;&>0070;.

ลมเย็นโชย หารู้อักษรไม่แล้วไยเป่า พลิกหน้า หนังสือวุ่น...

สวีจวิ้น - ข้าราชการในราชวงศ์ชิงต้องสิ้นชีวิตลงเพราะกลอนบทนี้

สวีจวิ้น คือข้าราชการในรัชสมัยยงเจิ้ง แห่งราชวงศ์ชิง ครั้งนึงเคยเขียนเอกสารราชการผิดจากคำว่า “&&8491;&<9979;” (ปี้ เซี่ย - แปลว่าฝ่าบาท) เป็น “&>9428;&<9979;”

ตัวอักษรตัวแรกที่เขียนผิด แม้จะออกเสียงเหมือนกัน แต่ตัวหลังหมายถึงคุก หรือสัตว์ป่า ซึ่งถือว่ามีความหมายเป็นของต่ำ ถือเป็นการหยามฮ่องเต้ยงเจิ้ง

ลำพังความผิดพลาดแบบนี้ของขุนนางต่อโอรสสวรรค์ก็ร้ายแรงแล้ว เรื่องนี้เกิดในราชวงศ์ชิงยิ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวมากเข้าไปใหญ่ เพราะราชวงศ์ชิงคือชนเผ่าแมนจู ชนเผ่านอกด่านที่มีจำนวนคนเพียงน้อยนิดที่เข้าปกครองดินแดนจีนอันกว้างใหญ่

การไม่ยอมรับเจ้าเหนือหัวชนชาติอื่น ที่ใช้วัฒนธรรมและภาษาต่างกับตนของเหล่าไพร่ฟ้าชาวจีน คือขวากหนามอันดับต้นๆ ในการเข้าปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่นี้ ปมความขัดแย้งทางวัฒนธรรมที่ต่างกันสุดกู่เริ่มขึ้นตั้งแต่การบังคับให้ชาวจีนไว้ทรงผมเปีย และโกนศีรษะครึ่งหน้าทิ้ง

ชาวแมนจูมีวัฒนธรรมการไว้ผมเปีย ส่วนหนึ่งเพื่อความคล่องแคล่วในการขี่ม้าล่าสัตว์ นอกจากไม่ปรกหน้าขณะควบม้า เปียที่พันกันไว้ด้านหลังยังใช้ต่างหมอนหนุนเพื่อพักผ่อนกลางป่าเขา แต่ชาวจีนในวัฒนธรรมขงจื๊อแต่ดั้งแต่เดิมมาถือว่าร่างกายเป็นของบิดามารดาที่ส่งต่อมาให้เรา ต้องดูแลรักษาให้ดี การทำให้ร่างกายของตนบาดเจ็บเท่ากับการทำร้ายบิดามารดาตน ซึ่งแม้แต่เส้นผม ชาวจีนก็จะไม่ตัด (ยกเว้นเมื่อยังอยู่ในวัยเด็ก) ชาวแมนจูคิดหาวิธีลดความแตกต่างของพวกตนกับชาวจีน ด้วยการบังคับให้ชาวจีนไว้ผมเปียแบบตนทั้งประเทศ และแน่นอนต้องพบกับการต่อต้านของชาวจีน ทำให้ชาวแมนจูต้องประกาศกร้าวว่า “ถ้าจะไว้ผมก็คือไม่ไว้หัว ถ้าจะไว้หัวก็จงอย่าไว้ผม”

แม้ชาวแมนจูจะบีบบังคับให้ชาวจีนไว้ผมทรงเดียวกับเผ่าตน แต่กับวัฒนธรรมด้านอื่นๆ กลับพยายามอย่างเต็มที่ที่จะซึมซับวัฒนธรรมจีนให้มากที่สุด นอกจากเพื่อพยายามเข้าใจผู้ถูกปกครองซึ่งมีวัฒนธรรมสูงกว่ามาตลอด ยังเพื่อแสดงให้ชาวจีนได้รู้ว่าชาวแมนจูก็มีความรู้สูงส่งได้ไม่ต่างจากชาวจีน และปมนี้เองทำให้ฮ่องเต้แมนจูแห่งราชวงศ์ชิงต้องศึกษาวัฒนธรรมจีนอย่างหนักหน่วง ในราชสำนักชิงใช้ทั้งภาษาแมนจู จีน และมองโกล เป็นภาษาราชการ องค์ชายทั้งหลายต่างมีกฎเกณฑ์ที่จะต้องเล่าเรียนศึกษาตำราจีนอย่างขะมักเขม้น อย่างที่ยากจะหาองค์ชายและฮ่องเต้จีนในราชวงศ์อื่นๆ เทียบเท่า

กลับมาที่ผู้ถูกปกครอง แม้มีชาวจีนพวกหนึ่งที่ตั้งกลุ่มต่อต้านชาวแมนจูอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ถูกชาวแมนจูค่อยๆ กำจัดเสีย แต่ชาวจีนที่เหลือส่วนใหญ่ก็ยังต้องการมีชีวิตปกติสุข เลือกยินยอมอยู่ภายใต้การกดขี่ ซึ่งถ้าไม่นับการกดขี่ทางวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนในราชวงศ์ชิงช่วงต้นก็ไม่เลวร้ายนัก และอาจเรียกได้ว่าดีกว่ายุคก่อนหน้าที่ชาวจีนปกครองชาวจีนด้วยกันเองด้วยซ้ำ

รวมถึงชาวจีนที่มีการศึกษาสูงที่ยอมงอไม่ยอมหัก เพื่อที่ตนจะได้ทำประโยชน์อะไรให้กับชาติบ้านเมืองบ้าง ต่างยอมเข้ารับราชการในราชสำนักชิง สวีจวิ้น ก็เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งราชสำนักชิงก็เปิดกว้างเป็นอย่างดี เพราะว่ากันด้วยจำนวนแล้วชาวแมนจูก็มีน้อยเกินกว่าจะปกครองชาวจีนทั้งประเทศได้

กระนั้นก็ตาม นอกจากชีวิตความเป็นอยู่แล้ว ศักดิ์ศรีของชนชาติก็เป็นความภูมิใจ

หนึ่งในวิถีชีวิต ความเป็นเขาความเป็นเราก็ยังแฝงอยู่ตลอดเวลา ชาวจีนและชาวแมนจูไม่เคยกลมกลืนกันได้จริง ความไม่พอใจในอนารยชนนอกด่าน เมื่อถูกกดทับด้วยอำนาจเด็ดขาดและรุนแรง มักเล็ดลอดออกมาในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง

การเสียดสี เหน็บแนม ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ฮ่องเต้ในราชวงศ์ชิงในช่วงต้นๆ จึงหวาดระแวงการถูกดูแคลนและเหน็บแนมด้วยรูปแบบต่างๆ ทำให้มีการจับผิดทางตัวอักษร บทกลอน บทความ กันมาก

แล้วก็มาถึงคราว “สวีจวิ้น”

ย้อนกลับมาที่ สวีจวิ้น ซึ่งบังอาจเขียนตัวอักษรคำว่า “ฝ่าบาท” ผิด จึงถูกปลดเป็นสามัญชน แต่เรื่องราวยังไม่จบเท่านั้น ภายหลังฮ่องเต้ยงเจิ้ง ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่องความหวาดระแวง ยังมีทีท่าเข้มงวดและไม่ไว้ใจ ถึงขนาดส่งคนไปสืบสาวที่บ้านเกิดของสวีจวิ้น วันร้ายคืนร้ายของสวีจวิ้นจึงมาเยือน เมื่อคนพบกลอนที่สวีจวิ้นเคยเขียนไว้ หนึ่งในบทกลอนนั้นเขียนว่า

“ลมเย็นโชย หารู้อักษรไม่แล้วไยเป่า พลิกหน้า หนังสือวุ่น...”

คำว่าลมเย็น ใช้อักษรภาษาจีนว่า “ชิงเฟิง” (ชิงแปลว่ากระจ่าง สดชื่น ส่วนเฟิงนั้นแปลว่าลม แปลให้เข้ากับความหมายคร่าวๆ ว่าลมเย็น) คำว่า “ชิง” ที่แปลว่าสดชื่นพ้องทั้งเสียงและรูปกับชื่อราชวงศ์ “ชิง” ทำให้ตีความได้ว่าเป็นการดูถูกราชสำนักชิงอย่างนิ่มๆ ตีความได้ว่ากลอนบทนี้เสียดสีว่าพวกราชวงศ์ชิงไม่รู้หนังสือ ไร้อารยธรรม ยังมาอวดดีพลิกตำราปกครอง หรือมาทำเป็นรู้หนังสือจาก “ลมเย็นโชย หารู้อักษรไม่ แล้วไยเป่า พลิกหน้า หนังสือวุ่น” จึงกลายเป็น “(พวก) ชิงไร้การศึกษา แล้วไยทำเปิดตำรา มาปกครอง” ถือเป็นการกระทำที่ส่อเค้าว่าเป็นกบฏต่อราชสำนัก

สวีจวิ้นจึงเรียบร้อยโรงเรียนชิง หัวหลุดจากบ่าในที่สุด

ไม่มีใครรู้ว่าสวีจวิ้นเขียนกลอนบทนี้ด้วยเจตนาใด ตัวสวีจวิ้นเองก็ไม่ได้สารภาพว่าตัวเองมีความคิดเช่นนั้น หรือจะสารภาพไม่ทันหัวหลุดก็มิอาจรู้ได้

สวีจวิ้นอาจเป็นขุนนางเลินเล่อคนหนึ่งที่มีความสามารถทางภาษาพอตัว หรืออาจเป็นขุนนางที่รักในชนชาติของตนอย่างสุดซึ้ง ที่ต้องการระบายความอัดอั้นในใจต่อชนชั้นปกครองที่ตนเห็นว่าเป็นอนารยชน

อย่างไรก็ดี ซึ่งเมื่อผ่านยุคสมัย ไกลมาจากประวัติศาสตร์ ก็ดูไม่น่าเชื่อว่า กลอนที่มีนัยทางศิลปะที่อ่อนโยน จะเป็นกลอนบทเดียวที่เคยปลิดชีวิตเจ้าของด้วย “โทษทางอักษรศาสตร์”

กลอนที่อ่อนโยนกลับมีเบื้องหลังเป็นความเกรงกลัวที่ก่อให้เกิดความหวาดระแวงและอำนาจที่กดทับซึ่งไม่เคยปิดกั้นความไม่พอใจได้จริง

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025