posttoday

จุดต่างระหว่างวีรบุรุษกับรัฐบุรุษ

05 เมษายน 2558

จุดต่างระหว่างบุคคลทั้งสองแบบนี้ห่างกันแค่ปลายจมูก

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

จุดต่างระหว่างบุคคลทั้งสองแบบนี้ห่างกันแค่ปลายจมูก

ถ้าจะดูความหมายจากพจนานุกรมอาจจะดูอ่อนๆ จืดๆ คือ “วีรบุรุษ” นั้น ท่านแปลว่า “ชายที่ได้รับการยกย่องว่ามีความกล้าหาญ” ส่วน “รัฐบุรุษ” ท่านแปลว่า “ผู้ที่ได้รับยกย่องอย่างสูงว่ามีความรู้ความสามารถในการบริหารบ้านเมือง” แต่ถ้าจะเอาความหมายในทางรัฐศาสตร์แล้วละก็ ทั้งสองคำนี้จะมีความหมายที่ดุเดือดเลือดพล่านขึ้นพอควร

นักรัฐศาสตร์จะให้ความหมายของทั้งสองคำนี้คล้ายกันกับนักประวัติศาสตร์ คือ พิจารณาจากประวัติชีวิต การต่อสู้ และผลงาน โดยวีรบุรุษมักจะเกิดขึ้นในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤต เช่น (และส่วนใหญ่ก็คือ) ภาวะสงครามและการกอบกู้ชาติ วีรบุรุษจำเป็นจะต้องใช้ “ความกล้าหาญ” เป็นอย่างสูง เพราะในภาวะเช่นนี้คนทั่วไปจะหลบลี้หนีหน้าเอาชีวิตรอด แต่คนที่จะเป็นวีรบุรุษ (ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นชนชั้นสูงหรือระดับผู้นำเสมอไป) ขอให้มีเพียงความกล้าหาญจนสามารถเอาชนะในการศึกสงคราม หรือสามารถในการฟื้นฟูและกอบกู้ชาติ เขาก็คือ “วีรบุรุษ” (ในทำนองเดียวกัน ถ้าเป็นสตรีและได้แสดง “วีรธรรม” คือความกล้าหาญนี้ ก็ได้ชื่อว่า “วีรสตรี”)

แม้จะมีคำกล่าวที่ว่า “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ” อันหมายถึงวีรบุรุษนี้จะเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่เหมาะสม ซึ่งก็คือ “วิกฤต” นั่นเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเกิดจากการ “สร้างสถานการณ์” หรือการก่อวิกฤตจอมปลอม อย่างไรก็ตามก็มีหลายครั้งที่วีรบุรุษและวีรสตรีเหล่านั้นเกิดขึ้น “โดยบังเอิญ” แต่ก็ต้องเกิดท่ามกลางภาวะที่วิกฤตร้ายแรงเป็นสำคัญ ดังนี้แล้วความเป็น “วีรชน” จึงประกอบด้วย “สถานการณ์ที่ร้ายแรง” ร่วมกับ “ความกล้าหาญอย่างเยี่ยมยอด”

สำหรับ “รัฐบุรุษ” ในทางรัฐศาสตร์จะหมายถึง “ผู้นำที่ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาบ้านเมือง และมีคุณงามความดีเป็นที่ยอมรับและจดจำของประชาชน” นั่นคือจะต้องมีองค์ประกอบอย่างน้อยถึง 3 อย่าง คือ หนึ่ง ต้องเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เพราะถ้าไม่มีความรู้ความสามารถแล้วละก็ ก็คงไม่สามารถสร้างสรรค์หรือคิดแก้ปัญหาอะไรได้ สอง ต้องมีคุณงามความดีเป็นที่ประจักษ์ แม้ว่าอาจจะเป็นคนดีบ้างไม่ดีบ้าง (เพราะมนุษย์จะหาสมบูรณ์ประเสริฐสุดทุกประการหามีไม่) แต่ก็ต้องมีความดีบางอย่างที่โดดเด่น และสาม การเป็นที่จดจำ ซึ่งก็ต้องเกิดจากคุณลักษณะทั้งสองประการก่อนนี้ เพราะหากไม่มีผลงานและความดี หรือบางคนมีผลงานแต่ไร้ความดี ก็ไม่มีคุณค่าควรแก่การจดจำ

อนึ่ง ยังมีความเห็นทางวิชาการจากนักประวัติศาสตร์เสริมไว้อย่างน่าสนใจว่า วีรบุรุษอาจเป็นได้ทั้งวีรบุรุษและรัฐบุรุษ คือ เมื่อชนะสงครามหรือกอบกู้ชาติได้แล้ว วีรบุรุษท่านนั้นก็ยังมีความรู้ความสามารถที่โดดเด่น สามารถสร้างสรรค์ให้ประเทศมีความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก แต่รัฐบุรุษไม่อาจจะเป็นวีรบุรุษได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วท่านที่มีความรู้ความสามารถและมีชื่อเสียงเหล่านี้ บางทีท่านก็ไม่ได้มีความกล้าหาญหรือเสียสละอย่างที่วีรบุรุษทั้งหลายได้กระทำ (ส่วนตัวผู้เขียนมีความเห็นเสริมว่า บางประเทศนั้นตำแหน่งวีรบุรุษใช้การแต่งตั้ง แม้กระทั่งออกกฎหมายแต่งตั้งตนเองให้เป็นรัฐบุรุษก็ได้ ซึ่งไม่ใช่รัฐบุรุษในความหมายสากลที่กล่าวอยู่นี้)

ขอยกตัวอย่าง “คนดัง” จำนวนหนึ่ง ที่บางคนดังมากแต่ก็ไม่ได้เป็นทั้งวีรบุรุษและรัฐบุรุษ เช่น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แม้ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่เขาเติบโตมีความโดดเด่นอย่างยิ่งทางการเมืองในฐานะผู้ประกาศอุดมการณ์ในการกอบกู้ชาติเยอรมันจากการกดขี่ของมหาอำนาจอื่นในยุโรป จนสามารถเอาชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้น แต่ด้วยความทะเยอทะยาน “บ้าคลั่ง” ในเรื่องชาตินิยมจนเกินพอดี จึงนำชาติเยอรมันไปพบหายนะ ส่วนตัวฮิตเลอร์เองก็ได้ชื่อว่า “ฆาตกรที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติยุคใหม่” ชะตาชีวิตของเขานั้นคล้ายๆ กันกับนโปเลียนของฝรั่งเศส ที่นำชาติฝรั่งเศสชนะสงครามอย่างยิ่งใหญ่ แต่ไม่สามารถนำพาชาติไปสู่ความรุ่งเรือง แล้วก็ต้องมัวหมองเป็นที่สาปแช่งเพราะ “ความชั่วร้าย” ที่ปรากฏออกมาในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ก็มีคนดังหลายๆ ท่านที่เริ่มต้นด้วยการเป็นวีรบุรุษ คือ ได้นำชาติเอาชนะสงครามหรือวิกฤตต่างๆ จากนั้นก็ได้รับตำแหน่งเป็นประมุขหรือผู้บริหารประเทศ ซึ่งก็สามารถนำประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้า หรือมีความมั่นคงได้อย่างโดดเด่น อย่างเช่น จอร์จ วอชิงตัน ผู้นำทหารที่กอบกู้และสร้างชาติสหรัฐอเมริกา นายพลเดอโกลของฝรั่งเศส เซอร์วินสตัน เชอร์ชิลด์ สองท่านนี้เป็นวีรบุรุษในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วพอมาเป็นผู้บริหารประเทศก็มีผลงานเป็นที่จดจำ หรือในทางกลับกัน บางคนก็เป็นรัฐบุรุษ (รัฐสตรี) ขึ้นก่อน แต่ที่สุดก็ได้กลายเป็นวีรบุรุษ (วีรสตรี) ขึ้นภายหลัง อย่างประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น ของสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศนโยบายเลิกการมีทาส กลายเป็นรัฐบุรุษ ต่อมาก็เกิดสงครามกลางเมืองจากการเลิกทาสดังกล่าว เขาก็สามารถเอาชนะสงครามครั้งนั้นได้จนได้ชื่อว่าวีรบุรุษที่มีชีวิต แต่สุดท้ายก็ต้องมาถูกยิงเสียชีวิต หรือกรณีของนางโกลดา แมร์ นายกรัฐมนตรีหญิงของอิสราเอลก็เช่นกัน ที่ได้สร้างประเทศอิสราเอลหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้มีความมั่นคงและก้าวหน้า แต่ก็มาถูกยิงเสียชีวิต เหมือนกันกับนางอินทิรา คานธี นายกรัฐมนตรีที่โด่งดังที่สุดของอินเดีย ก็ถูกยิงเสียชีวิตในขณะที่กำลังสร้างชาติเช่นกัน

หรืออย่างนายลีกวนยิว ที่เพิ่งล่วงลับก็สามารถนำคนจีนที่ถูกกดขี่ไปสร้างชาติใหม่บนเกาะเล็กๆ ชื่อว่าประเทศสิงคโปร์ แล้วรุ่งเรืองเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่งจนทั่วโลกให้การยอมรับ ก็อาจจะเรียกว่าเป็นทั้งวีรบุรุษและรัฐบุรุษของสิงคโปร์นั้นได้ หรือมองไปที่ประเทศจีน เหมาเจ๋อตุง อาจจะได้ชื่อว่าผู้สร้างระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์จีน แต่ก็ยังมีชื่อเสียงน้อยกว่า เติ้งเสี่ยวผิง (อย่างน้อยก็ในทัศนะของคนจีนรุ่นใหม่) ซึ่งเป็นผู้ทำให้ประเทศจีนมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอย่างโดดเด่น

ผู้เขียนเขียนบทความนี้ไม่ใช่เพราะอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็นวีรบุรุษหรือรัฐบุรุษแต่อย่างใด เพราะอันที่จริงแล้วมีผู้นำไทยหลายๆ ท่านที่ใกล้จะได้เป็นวีรบุรุษหรือรัฐบุรุษอยู่รอมร่อ แต่ก็มา “พัง” ด้วยจุดบกพร่องบางอย่าง อย่างเช่น ผู้นำของคณะราษฎรบางท่านที่มีความสามารถโดดเด่น แต่ก็มาทะเลาะกันจนพัง หรือนายทหารอย่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีความคิดค่อนข้างก้าวหน้า แต่ด้วยความประพฤติบางอย่าง จึงนำไปสู่ความเสื่อมเสียในเรื่องร้ายแรงหลายเรื่อง หรือล่าสุดอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีคนดังที่คนไทยจำนวนมากชื่นชมลุ่มหลง แต่ด้วยความที่คิดแต่ประโยชน์ตนและพวกพ้องมากไป ร่วมกับพฤติกรรมที่ชวนเชื่อได้ว่า “ไม่น่าไว้วางใจ” จึงต้องเร่ร่อนไปอาศัยอยู่ในดินแดนที่ไม่ได้เกิดออกมาจากท้องพ่อท้องแม่จนทุกวันนี้

ที่ว่าคนสองพวกนี้ห่างกันแค่ปลายจมูกก็ตรง “กลิ่น” ของใครจะ “หอม” กว่ากันนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

ไทยพาณิชย์ชู 3 แกนพัฒนาคน รับรางวัล HR Leader for Social Impact 2025