posttoday

"อุโมงค์ต้นไม้เมืองน่านอาจเหลือแค่ตำนาน" วินัย ปราบริปู

12 มีนาคม 2558

ฟังเสียงของ "วินัย ปราบริปู" ศิลปินผู้ก่อตั้งหอศิลป์ริมน่าน ต่อกรณีอุโมงต้นไม้เมืองน่านที่อาจไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

โดย…นรินทร์ ใจหวัง

กลายเป็นประเด็นร้อนแรง หลังจากที่กรมทางหลวงมีโครงการขยายไหล่ทางถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง จากความกว้าง 9 เมตรเป็น 12 เมตร รวมระยะทาง 138 กิโลเมตรจนถึงชายแดนห้วยโกร๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ส่งผลให้มีการตัดต้นไม้เป็นจำนวนมาก

โดยเฉพาะอุโมงค์ต้นไม้ริมทางหลวง 1080 น่าน-อ.เฉลิมพระเกียรติ อันร่มรื่นเขียวขจี สร้างอากาศบริสุทธิ์ ลดมลพิษ ทั้งยังเปี่ยมด้วยเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาชื่นชมไม่ขาดสายในแต่ละปี อาจต้องโค่นลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ล่าสุด มีการออกมาเคลื่อนไหวเพื่อรวบรวมรายชื่อให้ครบ 2 หมื่นราย เพื่อขอขออนุรักษ์เก็บอุโมงค์ต้นไม้ไว้เพื่อเป็นมรดกทางธรรมชาติ ก่อนจะนำเสนอเป็นข้อร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการคมนาคมให้ระงับการตัดต้นไม้ในบริเวณดังกล่าวจนกว่าจะมีการทำประชาพิจารณ์ หรือการหาทางออกร่วมกันระหว่างแขวงการทางน่านที่ 2 กับเครือข่ายศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่านก่อน

วินัย ปราบริปู ศิลปินชื่อดังชาวอ.ท่าวังผา จ.น่าน ผู้ก่อตั้งหอศิลป์ริมน่าน เป็นอีกคนหนึ่งที่เคยออกมาแสดงเจตนารมณ์คัดค้านโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ช่วงแรกๆหลายปีก่อนหน้านี้ ทว่าด้วยกระแสต่อว่าหาว่าขัดขวางความเจริญของชาวบ้านบางกลุ่มในพื้นที่ ขณะเดียวกันยังต้องเผชิญกับความนิ่งเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวของชาวบ้านที่เหลือ ผลสุดท้ายกลายเป็นการต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวที่ไม่มีวี่แววว่าจะชนะ

“ขณะนี้ดูเหมือนเป็นเพียงกระแสทางสื่อเท่านั้นที่ทำให้เห็นว่ามีคนออกมารวมตัวประท้วง หรือปักหลักอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆแล้วตอนที่ผมขับรถผ่านก็ไม่มีกลุ่มไหนที่ออกมายืนเกิน 2 ชั่วโมด้วยซ้ำ มีเพียงกลุ่มคนที่ออกมายืนไว้อาลัยให้กับต้นไม้เท่านั้น ผมเริ่มทำใจ เพราะเคยเห็นหลายจุดที่เขาตัดต้นไม้มาเยอะแล้ว คนน่านหลายคนเองก็ไม่เคยขึ้นไปทางอำเภอเวียงสา อำเภอนาหมื่น เขาจึงไม่เคยเห็นป่าแถวนั้นและไม่ได้รู้สึกผูกพันว่าจะต้องสูญเสียมันไป แต่ถ้าถามถึงคนที่ใช้ถนนและมีโอกาสเห็นเขาทำถนนตั้งแต่แรกตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็กเหมือนผม มันก็อีกความรู้สึกหนึ่ง

ศิลปินเมืองน่านรายนี้ยืนยันว่าเคยชักชวนชาวบ้านในพื้นที่มาเป็นแนวร่วมอนุรักษ์ ถึงขั้นกระตุ้นให้ตื่นตัวด้วยการทำงานผ่านศิลปะ ทั้งจัดแสดงภาพเขียน ภาพถ่าย กลับไม่มีใครสนใจ แถมยังถูกเบะปากใส่หาว่าเป็นพวกขัดขวางความเจริญ หรือ 3-4 ปีก่อนที่ทำโครงการ “ถนนงาม นามอนุรักษ์น่าน” เสียงตอบรับกลับมาเงียบมากอย่างน่าใจหาย ชาวบ้านไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร

"ลำพังแค่ผมจะทำอะไรได้ เพราะยังมีคนในพื้นที่อีกมากที่เขาเห็นด้วยกับโครงการขยายถนน มองว่าเราเป็นพวกขวางความเจริญ เราก็ต้องฟังคนในชุมชน บางอย่างมันก็ดี บางอย่างมันก็น่าเสียใจ คำว่าดีของผมนี่หมายถึงทางโค้ง เนิน หรือสะพาน เทคโนโลยีใหม่ทำให้มันสูงขึ้นมา ขุดภูเขาให้เป็นเนินลาดเอียงน้อยลง ขับรถง่ายขึ้น ไหล่ถนนกว้าง พอคนพื้นที่ใช้ถนนก็เห็นว่ามันสะดวกขึ้น สมัยก่อนมักเจอปัญหารถอีแต๋นไม่ติดไฟรถ ขี่กลับบ้านดึกๆอันตรายมาก พอถนนกว้างขึ้น มันทำให้เขาหลบรถคันอื่นได้ กลายเป็นความพึงพอใจของคนขับรถบางส่วนไป เราก็ถอนใจ ช่างเหอะ บ้านนี้เมืองนี้ ถนนนี้มันเป็นสิทธิของเขา เขาอาจจะอยากขยายถนนให้มันกว้าง เพื่อจะได้ขับรถง่าย ปลอดภัย  เราก็ต้องเคารพสิทธิ ปล่อยเลยตามเลยไป"

วินัยมองว่าแม้โครงการจะผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่การหันหน้ามาพูดคุยกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ยังทำให้พอมีหนทางในการยับยั้งการอุโมงค์ต้นไม้ได้

"ถ้าเราจะไม่เห็นด้วยก็น่าจะมีแผนการออกมาคัดค้านตั้งแต่แรกแล้ว เช่น เสนอรูปแบบในการออกแบบถนนให้มันตอบสนองกับความสะดวก และรักษาต้นไม้ไว้ด้วย มันทำได้ตามกฎระเบียบของทางการ หรือวิศวกรเขามีความรู้ความเข้าใจแตกต่างจากพวกเราคนทั่วไป ถ้าจะเอาระเบียบตรงนี้เอามาคุยกันก่อนก็ได้ไหม การแก้ปัญหาควรจะเริ่มตั้งแต่ช่วงแรกๆ ก่อนที่จะตกลงทำเงื่อนไขว่าจ้างหรือสัมปทานทำถนน เขาไม่ได้ทำปุ๊บปั๊บนะ แต่ทำมา3-4 ปีแล้ว ทีละขั้นทีละตอน  ตอนนี้ถ้าจะมีการจะประนีประนอมเกิดขึ้น เราต้องดูที่เงื่อนไขว่าใครจะเสียประโยชน์ รัฐหรือชุมชน

อีกอย่างต้องฟังถนนที่กลุ่มอนุรักษ์เขาเสนอให้รักษาไว้ด้วย ทำไปแล้วเสียงส่วนใหญ่พึงพอใจไหม คนในพื้นที่ล่ะพอใจไหม ไหนจะคนที่ไม่ได้ออกมาร่วมแสดงความคิดเห็นอีกล่ะ เขาโอเคมั้ย มันยากนะ เวลานี้การพูดคุยน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วอุโมงค์ต้นไม้เมืองน่านจะเหลือเพียงตำนาน แต่การหารือก็ทำให้ได้รู้ความต้องการที่แท้จริงของคนในชุมชน อีกทั้งคนไทยทุกคนที่เป็นเจ้าของถนนก็สำคัญเกินจะมองข้าม"

"อุโมงค์ต้นไม้เมืองน่านอาจเหลือแค่ตำนาน" วินัย ปราบริปู

สำหรับวิธีเคลื่อนย้ายต้นไม้ใหญ่ไปปลูกในพื้นที่ใหม่ วินัยส่ายหัวบอกว่าสิ้นเปลืองและไม่สามารถการันตีได้ด้วยว่าจะได้ผล

“ถ้าสุดท้ายต้นไม้ต้องไป การเคลื่อนย้ายก็คงช่วยอะไรไม่ได้นัก เพราะต้นไม้ใหญ่มันต้องตายแน่นอน ต้องมืออาชีพจริงๆ และทำสำเร็จได้เพียงบางชนิดบางสายพันธุ์เท่านั้น คนย้ายต้องใช้เวลาประคบประหงม 2-3 เดือน ซึ่งแน่นอนค่าใช้จ่ายมันจะสิ้นเปลืองมาก โดยที่ไม่มีใครการันตีว่าจะทำสำเร็จ  ก่อนหน้านี้เรามีประสบการณ์ที่ว่ามีกลุ่มที่ไม่ต้องการตัดต้นไม้และขอให้ย้ายเฉพาะต้นไม้มีค่าอย่างต้นสัก ซึ่งไม่รู้ว่าไปตกลงกันอีท่าไหน กลายเป็นว่าเอื้อผลประโยชน์ให้กับหน่วยงานที่ทำการย้ายต้นไม้ไปเสียอย่างนั้น เรารู้อยู่แล้วว่าอย่างไรมันต้องตายแน่นอน เพราะเป็นประเภทที่ใช้เลื้อยไฟฟ้าตัด เอารถแบคโฮโค่นลง เอาเครนยกไปเรือนเพาะชำข้างถนน อันนี้เหมือนทำให้พ้นๆทำตามกติกาที่ประชาคมเสนอเฉยๆ มันเข้าทางใครก็ไม่รู้ ดูแล้วไม่สบายใจเลย”

ถึงวันนี้ ศิลปินอาวุโสแห่งเมืองน่าน บอกว่าสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือให้กำลังใจอยู่เบื้องหลัง โดยเปิดพื้นที่หอศิลป์ริมน่านให้พี่น้องเข้ามาพูดคุยเสวนา สร้างงานศิลปะ แม้กระทั่งไว้อาลัยให้กับการสูญเสียของต้นไม้ที่จะเกิดขึ้น

"เหมือนมีหลุมศพสักหลุมหนึ่งไว้ให้คนมาก็ไว้อาลัย นึกถึง พูดถึง ก็โอเคทำได้แค่นี้  ดีกว่าไปเผชิญหน้ากับคนที่เราก็รู้ว่าเขาไม่เห็นด้วย ยุคนี้ไม่ใช่แค่ไม่เห็นด้วยอย่างเดียว แต่มันเหมือนกับว่าจะโยนให้เราเป็นฝ่ายตรงกันข้ามกันไปแล้ว”น้ำเสียงทอดถอนใจ

ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้คนชุมชนทุกพื้นที่มองเห็นสิ่งแวดล้อมที่สวยสดงดงามแบบนี้ว่าเป็นสิ่งสำคัญ มองว่าเราควรหาวิธีป้องกัน ไม่ให้มันสูญหายไป อย่างที่น่านเราเคยมีภาพเขียนฝาผนัง แต่กลับไม่มีเรื่องเล่าไม่มีบันทึก ไม่มีใครพูดถึง กว่าเราจะมาเห็นคุณค่ามันก็เกือบจะสายไปแล้ว อันนี้ก็เหมือนกัน ผมมองเห็น หลายคนก็มองเห็น ชวนผมทำ พอไปแล้ว คนไม่สนใจ จนจะมันโดนฟันโดนตัดออก  ฉะนั้นอยากให้ทุกพื้นที่ที่มีสิ่งดีงาม ช่วยกันดูแล ประคับประคอง อนุรักษ์ อย่าให้ถึงเวลาที่เขามีกฎระเบียบอะไรมาแล้วเราหาวิธีป้องกันไม่ได้"

ทั้งหมดนี้คือความในใจของ วินัย ปราบริปู อันเต็มไปด้วยความรู้สึกอาลัยยิ่ง

ข่าวล่าสุด

“วราวุธ” ไหว้อนุสาวรีย์นายบรรหาร ก่อนไปสมัคร ภท.พรุ่งนี้