วัดใจเปิดเหมือง เก็บหลักฐานผลกระทบสิ่งแวดล้อม
หากเกลือถูกลำเลียงไป “ขาย” แทนที่จะนำกลับคืนสู่ใต้ดิน นั่นหมายความว่าพื้นที่ใต้ดินจะกลวงโหว่ สุ่มเสี่ยงต่อการทรุดตัวใช่หรือไม่
โดย...ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน
ท่วงทำนองสยายปีกของ บริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน ภายหลังได้รับอนุมัติประทานบัตรอายุ 25 ปี บริเวณ อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ เนื้อที่ (ใต้ดิน) กว่า 7,900 ไร่ เต็มไปด้วยความมั่นใจ
นอกจากภายในเดือน เม.ย.นี้ ที่บริษัทจะหารือผู้ถือหุ้นเพื่อขอจดทะเบียนเพิ่มทุนอีกไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท (จากเดิม 2,800 ล้านบาท) แล้ว สมัย ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทยังสำทับความเชื่อมั่นอีกคำรบหนึ่งว่า มีธนาคารหลายแห่งจากหลายประเทศสนใจปล่อยกู้วงเงินสูงถึง 4.5 หมื่นล้านบาท
หากเป็นไปตามที่บริษัทคาดการณ์First Product จะเกิดขึ้นได้ในปี 2561 และนับจากนั้นไปอีก 3 ปี จะสามารถผลิตปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (แม่ปุ๋ย) ได้เต็มศักยภาพ คือประมาณปีละ 1.1 ล้านตัน มูลค่า 1-2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะช่วยทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศที่นำเข้าอยู่ประมาณปีละ6-7 แสนตัน
ยังไม่นับเกลือ ที่เป็นผลิตผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตที่ได้มากถึงปีละ 3.5 ล้านตัน/ปี ซึ่งตามแผนของบริษัทจะถมกลับลงไปในอุโมงค์ด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อป้องกันผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นกับชุมชนรอบข้าง
ทั้งหมดฟังดูดี แต่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเคลือบแคลง หรือความกังวล
ว่ากันตามข้อเท็จจริงแล้ว เกลือจำนวนมหาศาลที่ได้ในแต่ละปีย่อมมีมูลค่า และเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญในธุรกิจปิโตรเลียม
คำถามคือ หากเกลือถูกลำเลียงไป “ขาย” แทนที่จะนำกลับคืนสู่ใต้ดิน นั่นหมายความว่าพื้นที่ใต้ดินจะกลวงโหว่ สุ่มเสี่ยงต่อการทรุดตัวใช่หรือไม่?
มากไปกว่านั้น ก็คือ ด้วยลักษณะเฉพาะของเหมืองโปแตชที่แตกต่างจากเหมืองประเภทอื่น จึงแทบจะไม่สามารถหา “หลักฐาน-ใบเสร็จ” มัดตัวกิจการเหมืองโปแตชได้เลย หากดำเนินการแล้วเป็นต้นเหตุสร้างผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
ไล่เรียงตั้งแต่ ประเด็นสุขภาพ หากไม่นับพนักงานเหมืองที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในเหมืองวันละหลายๆ ชั่วโมงติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว แทบไม่มีโอกาส “พิสูจน์ทราบ” ผลกระทบด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านรายอื่นๆ ในละแวกเหมืองได้เลย
นั่นเพราะ “หางแร่” จากกระบวนการผลิตคือเกลือ ซึ่งร่างกายมนุษย์สามารถขับออกได้เองตามธรรมชาติ และถึงแม้ว่าในอนาคตอาจจะมีชาวบ้านในชุมชนป่วยด้วยโรคไตเป็นจำนวนมาก ก็มีโอกาสที่จะถูกโยนบาปให้เป็นความผิดของชาวบ้านเอง เนื่องจากมีพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสม เช่น กินเค็มมากเกินไป
แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ “โลหะหนัก” ที่ปนเปื้อนในเลือดของชาวบ้านรอบเหมืองแร่ทองคำ ซึ่งยืนยันได้ว่าเกิดความผิดปกติในร่างกายขึ้นแล้ว
สำหรับ ประเด็นสิ่งแวดล้อม ข้อกังวลแรกคือ ปัญหาน้ำแล้ง เนื่องจากเหมืองโปแตชต้องใช้น้ำในกระบวนการผลิตตลอด 24 ชั่วโมง หรือกว่าปีละ 3.2 ล้านลูกบาศก์เมตร คำถามคือเป็นไปได้หรือไม่ว่าน้ำสำหรับอุปโภค-บริโภคของชาวบ้านในพื้นที่จะถูกแย่งใช้
ที่สำคัญ หากเกิดปัญหาน้ำไม่พอใช้ขึ้นจริง ก็มีโอกาสถูกโยนบาปให้เป็นความผิดของธรรมชาติ โดยเฉพาะเมื่อ จ.ชัยภูมิ มีลักษณะเฉพาะคือลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือพาดผ่านมาไม่ถึง นั่นหมายความว่าเป็นจังหวัดที่มีความแห้งแล้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อีกหนึ่งข้อกังวลคือ ปัญหาดินเค็ม ซึ่งพิสูจน์ทราบได้ยากเช่นเดียวกัน และยิ่งเมื่อผลการสำรวจของ กรมทรัพยากรธรณี ระบุชัดอีกว่า จ.ชัยภูมิ เป็นพื้นที่ดินเค็มในระดับปานกลางอยู่แล้ว แม้ว่ากิจการเหมืองโปแตชอาจจะทำให้ดินเค็มมากขึ้น ก็มีโอกาสที่ถูกโยนบาปให้เป็นความผิดของธรรมชาติเช่นเดียวกัน
แม้แต่เจ้าของรางวัลโกมล คีมทอง ด้านสิ่งแวดล้อม ประจำปี 2558 อย่าง เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา ยังยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่จะหาหลักฐานและใบเสร็จจากกิจการเหมืองโปแตชคำตอบเดียวคือการ “เก็บตัวอย่าง” ก่อนเริ่มทำเหมือง เพื่อใช้เปรียบเทียบอ้างอิงในอนาคต
“หากไม่ทำก็จะเป็นเหมือนกรณีเหมืองทองคำพิจิตร ซึ่งจะถูกอ้างว่าผลกระทบต่างๆ เกิดจากสภาพแวดล้อม โดยการตรวจในลักษณะนี้ควรเป็นราคาที่บริษัทต้องจ่าย”เลิศศักดิ์ ระบุ
สอดคล้องกับ รุ่งเรือง เลิศศิริวรกุล ภาควิชาเทคโนโลยีธรณี มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่บอกว่า จำเป็นต้องเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ก่อนเริ่มทำเหมือง และต้องติดตามผลกระทบระยะยาว เช่น สถิติผู้ป่วยไตพุ่งสูงขึ้นตามระยะเวลาการดำเนินกิจการเหมืองหรือไม่
เป็นข้อเสนอที่น่ารับฟัง และเชื่อว่า บริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จะยินยอม เพื่อพิสูจน์ความจริงใจ