หลวงพ่อโต พระยืนทรงอุ้มบาตร สูงใหญ่ที่สุดในโลก
ชาวพุทธส่วนมากได้ยินกิตติศัพท์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) กันเป็นส่วนมาก เพราะสมเด็จวัดระฆังที่ท่านสร้างมีพุทธคุณขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก นอกจากพระสมเด็จแล้ว ท่านยังสร้างพระพุทธรูปใหญ่ไว้อีกหลายแห่ง เช่น พระพุทธรูปประทับนั่งที่วัดเกษไชโย จ.อ่างทอง และพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม เป็นต้น
ชาวพุทธส่วนมากได้ยินกิตติศัพท์สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พฺรหฺมรํสี) กันเป็นส่วนมาก เพราะสมเด็จวัดระฆังที่ท่านสร้างมีพุทธคุณขลังและศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก นอกจากพระสมเด็จแล้ว ท่านยังสร้างพระพุทธรูปใหญ่ไว้อีกหลายแห่ง เช่น พระพุทธรูปประทับนั่งที่วัดเกษไชโย จ.อ่างทอง และพระพุทธรูปยืนอุ้มบาตร วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม เป็นต้น
พระเทพวิสุทธาภรณ์ (ทองสืบ สจฺจสาโร) เจ้าอาวาสรูปที่ 5 แห่งวัดอินทรวิหาร-พระอารามหลวง ซึ่งเป็นที่สถิตหลวงพ่อโต พระพุทธรูปปางอุ้มบาตรที่ใหญ่ที่สุดในโลก จัดทำเอกสารเล่าความเป็นมาของวัด และหลวงพ่อโต แจกจ่ายแก่ผู้สนใจ สรุปได้ดังนี้ วัดอินทรวิหาร พระอารามหลวง เดิมชื่อวัด “ไร่พริก” ตั้งอยู่เลขที่ 144 ถนนวิสุทธิกษัตริย์ แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นวัดโบราณสร้างแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อายุประมาณ 300 ปีเศษ กรมศาสนา (ปัจจุบันคือสำนักงานพุทธศาสนาฯ) ได้ออกเอกสารรับรองสภาพวัดเมื่อ พ.ศ. 2329
ต่อมาบริเวณใกล้วัด มีชุมชนบ้านลาวเกิดขึ้น เนื่องจากรัชกาลที่ 1 กวาดต้อนชาวลาวเข้ามาและให้มาอยู่ใกล้วัดไร่พริก ชาวลาวมีทั้งคนสามัญชนและราชวงศ์ ในจำนวนนี้ราชวงศ์องค์หนึ่งนามว่า อินทวงศ์ ได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์วัดไร่พริกขึ้นใหม่จนเสร็จเรียบร้อยสมบูรณ์ และได้ขอเปลี่ยนชื่อวัด จึงโปรดเกล้าฯ ประทานนามว่า “วัดอินทาราม”
ถึงรัชกาลที่ 6 ได้โปรดให้เปลี่ยนชื่อวัดที่มีนามเหมือนกัน คือ วัดอินทาราม ฝั่งพระนคร และวัดอินทาราม ฝั่งธนบุรี ในการนี้ สมเด็จกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราช จึงได้ประทานนามวัดที่อยู่ฝั่งพระนคร ว่า “วัดอินทรวิหาร” และเมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2542 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง
องค์หลวงพ่อโต
สำหรับหลวงพ่อโต พระพุทธปฏิมากรปางประทับยืนทรงบาตรที่สูง-ใหญ่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูง 16 วา กว้าง 5 วา 2 ศอก ริเริ่มสร้างขึ้นด้วยศรัทธาของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์
(โต พฺรหฺมรํสี) เมื่อ พ.ศ. 2410 ในรัชกาลที่ 4 ซึ่งได้ดำเนินการก่อสร้างก่ออิฐไปถึงพระนาภี (สะดือ) ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้มรณภาพลงด้วยโรคลมปัจจุบัน ณ ศาลาการเปรียญวัดอินทรวิหาร ในขณะควบคุมการก่อสร้างองค์หลวงพ่อโต
เจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร รูปต่อๆ มาได้ร่วมกันดำเนินการก่อสร้างต่อ เช่น พระครูธรรมานุกูล (หลวงปู่ภู จนฺทเกสโร) พระครูสังฆบริบาล (จากวัดบวรนิเวศ) แต่มาเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในสมัยของ พระอินทรสมาจาร (หลวงปู่เงิน อินทสโร)
เมื่อปี 2470 รวมเวลาก่อสร้างประมาณ 60 ปี
เมื่อ พ.ศ. 2525 ฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ทางวัดนำแผ่นโมเสกทองคำแท้ (24K) จากประเทศอิตาลี มาประดับทั้งองค์ จึงมองเห็นเป็นทองเหลืองอร่ามในปัจจุบัน
ในคราวที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้สร้างองค์หลวงพ่อโต ท่านได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถขึ้นใหม่ทั้งหลัง และได้ให้จิตรกรเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งเป็นการบอกเล่าประวัติชีวิตของท่าน และสิ่งที่ท่านได้พบเห็นไว้อย่างชัดเจน ผู้ใดได้ดูได้อ่านได้ศึกษาจะรู้ประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ อย่างสมบูรณ์และถูกต้อง ซึ่งมี
แห่งเดียวที่วัดอินทรวิหารนี้เท่านั้น (มีเอกสารประกอบ บรรยายละเอียด ทุกภาพ) ทางวัดเปิดพระอุโบสถให้เข้าสักการะหลวงพ่อวัดอินทร์ และชมภาพสำคัญนี้ทุกวัน
นอกจากภาพประวัติ เจ้าประคุณสมเด็จฯ (โต) ได้สร้างพระพุทธรูปปางสมาธิ ประดิษฐานที่ศาลาด้านหน้าองค์หลวงพ่อโต และสร้างรูปปั้นโยมพ่อโยมแม่ของท่านไว้ ที่กุฏิเล็กๆ ทางด้านทิศใต้ของวัด ต่อมาที่ดังกล่าวได้สร้างอาคารปฏิบัติธรรม เฉลิมพระเกียรติ ทางวัดถอดแบบรูปโยมพ่อโยมแม่สร้างใหม่นำไปไว้รวมกันที่บ่อน้ำพระพุทธมนต์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ที่อยู่ในวัด
ที่ด้านหน้าของพระมีบ่อน้ำมนต์ สร้างโดยเจ้าประคุณสมเด็จฯ ได้จารึกแผ่นพระคาถา 121 พระคาถา ประดิษฐานไว้ ท่านที่ต้องการน้ำมนต์ เพียงนำน้ำใส่ก็เป็นน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์แล้ว
แต่ที่เห็นปัจจุบันเป็นบ่อน้ำมนต์สร้างและปฏิสังขรณ์ เมื่อปี 2530 โดยพระเทพวิสุทธาภรณ์ (ทองสืบ สจฺจสาโร) เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน โดยท่านจินตนาการว่าบ่อเดิมมีรูปทรงที่งดงามดูเข้มขลัง ผสมผสานหลายรูปแบบ ดูเป็นอินเดียก็ได้ จีนก็ได้ ไทยก็มีส่วนสำคัญในการสร้างขึ้นใหม่ เมื่อบูรณะได้พบแผ่นยันต์ 121 พระคาถาฝังอยู่ใต้ก้นบ่อ ได้นำไปขอให้บรรดาพระเกจิทั้งหลาย
รุ่นเก่าๆ ต่างยืนยัน บรรจุอักขระในพระไตรปิฎก
ในการบูรณะใหม่ ได้จารึกคาถาพระเจ้าห้าพระองค์ นะ โม พุท
ธา ยะ พระคาถาชินบัญชร ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก และธาตุทั้ง 4 นะ มะ พะ ทะ และอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์จากทั่วประเทศ โดยเน้นจากวัดที่มีพระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ และเกจิอาจารย์ผู้มีจิตและญาณสูง เพื่อใส่ไว้ในบ่อแห่งนี้
ตอนแรกรวบรวมได้ 381 แห่ง ต่อมาไปนำน้ำมาจากปัญจมหานที (แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ 5 สาย) ในประเทศอินเดีย-เนปาล และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จากทั่วโลก น้ำพระมหาพุทธมนต์จากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
(วัดพระแก้ว) ในพิธีสำคัญๆ มาใส่ไว้ด้วย
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านมีนามเดิมว่า “โต” นามฉายาว่า “พฺรหฺมรํสี” เกิดในรัชกาลที่ 1 ณ บ้านไก่จ้น ต.ท่าหลวง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีวอก ตรงกับวันที่ 17 เม.ย. 2331 เวลาประมาณ 06.54 น. อุปสมบท ในปีเถาะ
พ.ศ. 2350
เป็นพระเถระที่มีชื่อเสียง จึงได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นสามัญ ที่ “พระธรรมกิตติ” เมื่อปีชวด พ.ศ. 2395 และเป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ที่ “พระเทพกวี” เมื่อปีขาล พ.ศ. 2397
เมื่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (สน เปรียญ 3 ประโยค) วัดสระเกศวรมหาวิหาร พระอารามหลวง มรณภาพลง จึงทรงโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านเป็นสมเด็จพระราชาคณะ ที่ “สมเด็จพระพุฒาจารย์” (โต พฺรหฺมรํสี เมื่อวันพฤหัสบดี เดือนยี่ ขึ้น 9 ค่ำ ปีชวด พ.ศ. 2405 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม รูปที่ 6
ส่วนที่มาสร้างหลวงพ่อโตที่วัดอินทรวิหารนั้น ช่วงบั้นปลายของชีวิต อายุโดยประมาณ 80 ปี โดยที่ที่ท่านอยู่ตั้งแต่ยังเด็กจนเติบโตเจริญวัย ได้บรรพชา (บวชเณร)
ณ ที่วัดแห่งนี้ ยังไม่เคยได้สร้างได้ทำอะไรไว้เป็นอนุสรณ์ จึงสร้างองค์หลวงพ่อโตขึ้น โดยท่านเป็นผู้คิดออกแบบแปลน (สถาปนิ ก) เมื่อ พ.ศ. 2410 ในรัชกาลที่ 4 แต่สร้างได้ถึงพระนาภี (สะดือ) ท่านก็มรณภาพลงด้วยโรคลมปัจจุบัน
คณะศิษย์ซึ่งมีหลวงปู่ภู และทายกทายิกา ศิษยานุศิษย์ ได้ปฐมพยาบาล ณ ที่ศาลาการเปรียญ ที่ท่านพักประจำ (ปัจจุบันทางวัดได้สร้างให้เหมือนที่ท่านอยู่ เป็นศาลาไม้สักทองทั้งหลัง) และมรณภาพ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิ.ย. 2415 เวลาเที่ยงคืน สิริอายุได้ 84 ปี พรรษา


