จับตาเงินฝืดลามโลก ระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ
เดินตามรอยยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียอย่างจีนไปติดๆ สำหรับธนาคารกลางแห่งอินเดีย (อาร์บีไอ)
โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา
เดินตามรอยยักษ์ใหญ่แห่งเอเชียอย่างจีนไปติดๆ สำหรับธนาคารกลางแห่งอินเดีย (อาร์บีไอ) ซึ่งสร้างเซอร์ไพรส์แก่นักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลกด้วยการประกาศหั่นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สองของปี 2015 หลังเพิ่งจะตัดลดอัตราดอกเบี้ยไปเมื่อช่วงกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
ธนาคารกลางอินเดียให้เหตุผลว่า สาเหตุที่ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% มาอยู่ที่ 7.5% ในขณะนี้ เป็นเพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่อ่อนแอ และความวิตกต่อภาวะเงินเฟ้อที่ขยายตัวเพียง 5.11% ในเดือน ม.ค. ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้ที่ 6%
แม้จะมีเหตุผลอันสมควรมารองรับการกระทำดังกล่าว กระนั้นความเคลื่อนไหวข้างต้นก็เริ่มสะท้อนภาพปัจจัยคุกคามการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจของนานาประเทศทั่วโลกได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยปัจจัยที่ว่านี่คือภาวะเงินฝืดนั่นเอง
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายสำนักต่างเริ่มทำให้ยอมรับและทยอยส่งเสียงเตือนให้ได้ยินหนาหูมากขึ้นแล้วว่า ภาวะเงินฝืดกำลัง “ฝังและแฝง” ตัวอย่างเงียบเชียบอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และส่งผลให้นานาประเทศไม่ว่าจะมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก เสี่ยงเผชิญภาวะราคาตกต่ำได้เท่าเทียมกัน
ยืนยันได้จากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศหลักๆ ขณะนี้อย่างญี่ปุ่น เยอรมนี อังกฤษ หรือสหรัฐ ที่ต่างประสบกับภาวะเงินเฟ้อต่ำมากถึงมากที่สุด
ขณะเดียวกัน ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็นความหวังสำหรับปี 2015 นี้ก็มีแนวโน้มเผชิญกับแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อต่ำ จนเสี่ยงเข้าสู่ยุคเงินฝืดเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นไทย และเกาหลีใต้
ยังไม่นับรวมหลายประเทศในภูมิภาคยุโรปที่เผชิญหน้ากับภาวะเงินฝืดเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะประเทศกรีซ
ขณะที่แม้แต่ประเทศจีน ซึ่งสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้นวิกฤตมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ก็เริ่มหนีไม่พ้นภาวะเงินฝืดแล้วเช่นกัน โดยรายงานล่าสุดระบุชัดว่า อัตราเงินเฟ้อของจีนขยายตัวที่ 0.8% ซึ่งนับได้ว่าต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี จนธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ต้องประกาศตัดลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุด ชเว คยุง-ฮวาน รัฐมนตรีคลังเกาหลีใต้ ถึงกับปรารภเมื่อวานนี้ ว่า สถานการณ์เงินเฟ้อของประเทศค่อนข้างน่าเป็นห่วง หลังอัตราเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ขยายตัวอยู่ที่ 0.5% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 15 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 1999 จนเสี่ยงต่อภาวะเงินฝืด และทำให้ธนาคารกลางไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามจีนและอินเดีย
ถามว่าความเสี่ยงเรื่องภาวะเงินฝืดในห้วงเวลานี้มาจากไหน คำตอบอยู่ที่ 2 ประเด็นหลักก็คือ 1) สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงอ่อนแอ และ 2) ผลพวงจากราคาน้ำมันถูก
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศในขณะนี้กำลังฟื้นตัวดี แต่กระนั้นก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับข้อเท็จจริงที่ว่าหลายประเทศได้งัดเอามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เข้ามาใช้
พูดให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ปัจจุบันมีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ในหลายประเทศ ซึ่งน่าจะช่วยให้การเติบโตเป็นไปอย่างดี แต่จนแล้วจนรอด การขยายตัวทางเศรษฐกิจกลับไม่อาจถือได้ว่าอยู่ในระดับที่เร็วและดีเพียงพอตามที่รัฐบาลนานาประเทศคาดหวังไว้
ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ นักวิเคราะห์ทั้งหลายเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ หากรัฐบาลประเทศหนึ่งๆ จะเดินหน้าหยุดมาตรการกระตุ้น โดยมีกรณีตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดอย่างธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีท่าทีลังเลกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหนึ่งในเหตุผลของความลังเลดังกล่าวมาจากความไม่แน่ใจว่าผลจากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) ของตน ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐแข็งแรงเพียงพอรับมือกับภาวะเงินเฟ้อต่ำได้ดีมากแค่ไหน
ขณะที่ปัจจัยบ่งชี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างปริมาณการลงทุนของภาคเอกชน อัตราค่าแรงของลูกจ้างแรงงาน และการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนในหลายประเทศ ล้วนชะลอตัวหรือหดตัวลง จนผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นเค้าลางภาวะเงินฝืด
ด้านนักวิเคราะห์จากเว็บไซต์อินเดียอินโฟว์ไลน์ เสริมว่า มาตรการกระตุ้นในห้วงเวลานี้ทำให้มีปริมาณเงินล้นระบบและขยายตัวแซงหน้าปริมาณความต้องการสินค้าและบริการของผู้บริโภคในตลาด ดังนั้นจึงเกิดภาวะเงินเฟ้อลด (Disinflation) ในปัจจุบัน ซึ่งจะเสี่ยงทำให้เกิดภาวะเงินฝืด (Deflation) ได้ไม่ยาก
ในส่วนของปัจจัยด้านราคาน้ำมันถูก แม้จะเป็นผลดีในแง่ที่ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง จนราคาสินค้าตามท้องตลาดปรับตัวลดลง ซึ่งตามทฤษฎีแล้วย่อมเป็นผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้ใช้สินค้าราคาถูก
แต่ทว่านักเศรษฐศาสตร์ต่างวิตกว่า ท่ามกลางสถานการณ์ในรูปการณ์ปัจจุบัน ราคาสินค้าที่ลดต่ำลงอาจจะเป็นตัวจุดชนวนที่ก่อให้เกิดวงจรอุบาทว์ร้ายแรงที่ฉุดเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ไม่ยาก
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บรรดาผู้บริโภคในครัวเรือนและภาคเอกชนต่างคาดหวังว่าราคาสินค้าน่าจะลดต่ำลงอีก จึงตัดสินใจชะลอการลงทุนหรือใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้จนเข้าสู่ภาวะเงินฝืด ซึ่งจะกลายเป็นสถานการณ์ที่กดดันให้บุคคลหรือประเทศในฐานะลูกหนี้ตกอยู่ในสภาวะลำบากเพราะไม่มีเงินใช้หนี้ ตลอดจนกดดันให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจอ่อนแอต้องตัดลดค่าแรงเพื่อรักษาศักยภาพในการแข่งขัน ซ้ำเติมภาวะเงินฝืดให้หนักข้อขึ้นไปอีก
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ แนวโน้มภาวะเงินฝืดในขณะนี้คืบคลานเข้ามาพร้อมกับความเป็นจริงที่ว่า บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกแทบไม่เหลืออาวุธที่ใช้ต่อกรกับภาวะเงินฝืด
ตามปกติแล้ว ในกรณีที่ต้องต่อกรกับวงจรเงินฝืด บรรดาธนาคารกลางจะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยก่อน ตามด้วยการประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายหรือมาตรการอื่นๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ขับเคลื่อนต่อไปได้
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ระบุเป็นเสียงเดียวกันว่า ธนาคารกลางแทบทุกประเทศทั่วโลกต่างปรับลดอัตราดอกเบี้ยของตนเองลงจนแตะระดับที่ต่ำที่สุดเท่าที่ธนาคารนั้นๆ จะรับมือไหว โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อฟื้นการเติบโตของประเทศจากวิกฤตการเงินโลก
แน่นอนว่าบรรดาธนาคารกลางแต่ละแห่งย่อมมีวิธีในการรับมือกับภาวะเงินฝืดที่แตกต่างกัน กระนั้น สกอตต์ วอเรน นักกลยุทธ์หลักทรัพย์จากเวลส์ ฟาร์โก ระบุว่า หลังจากงัดหลากหลายมาตรการทางการเงินมาใช้ ธนาคารกลางทั่วโลกย่อมตระหนักแล้วว่า มาตรการทางการเงินให้ผลลัพธ์ที่จำกัด โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์ที่เงินฝืดอยู่ในภาวะร้ายแรง เห็นได้จากขณะนี้ที่แม้อัตราดอกเบี้ยจะต่ำติดศูนย์ แต่ปริมาณสินเชื่อกลับไม่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่ภาวะเงินฝืดกำลังค่อยๆ คืบคลานเข้ามา ความท้าทายของธนาคารกลางทั่วโลกนับต่อจากนี้ก็คือ การควานหามาตรการหรือนโยบายทางการเงินอื่นๆ เพื่อรับมือกับภาวะเงินฝืดให้ได้ หลังจากที่เวลาได้พิสูจน์แล้วว่ามาตรการคิวอีที่ใช้กันอยู่นั้น ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจ นอกจากทำให้ตลาดหุ้นตลาดเงินมีความเคลื่อนไหวที่น่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น


