posttoday

ชงสปช.เปลี่ยนระบบจัดเก็บภาษีสุรา

01 มีนาคม 2558

นักวิชาการ ยื่นข้อเสนอ สปช. เปลี่ยนโฉมระบบจัดเก็บภาษีสุรา เสนอเก็บแบบผสม ทั้งตามปริมาณ และตามมูลค่าที่คิดจากราคาขายปลีก

นักวิชาการ ยื่นข้อเสนอ สปช. เปลี่ยนโฉมระบบจัดเก็บภาษีสุรา เสนอเก็บแบบผสม ทั้งตามปริมาณ และตามมูลค่าที่คิดจากราคาขายปลีก

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. นายนพพล วิทย์วรพงศ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา(ศวส.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตามที่คณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ กำลัง​อยู่ระหว่างการพิจารณา การปฏิรูประบบภาษีอากรของประเทศไทย ศวส.ในฐานะองค์กรวิชาการด้านแอลกอฮอล์เพื่อลดปัญหาผลกระทบปัญหาที่เกิดจากสุรา ​​จึง​ได้ทำหนังสือส่ง​ถึง​ประธานคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ เรื่อง ข้อเสนอการปฏิรูปภาษีสรรพสามิตสุรา โดยจากการวิจัย พบว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลกระทบหลายด้าน ทั้งสาธารณสุข เศรษฐกิจ และสังคม โดยในปี 2549 พบว่าเกิดผลกระทบทางสังคมเป็นมูลค่าถึง1.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ1.9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ขณะที่องค์การอนามัยโลก ระบุว่า ​การใช้เครื่องมือทางด้านภาษี ปรับเพิ่มราคาสินค้าให้สูงขึ้น จะทำให้การบริโภคลดลง ถือเป็นนโยบายที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดในการควบคุมการบริโภคดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และผลกระทบ ​

นายนพพล กล่าวว่า แม้ว่าการใช้เครื่องมือทางภาษีจะส่งผลดีต่อการควบคุมการบริโภค แต่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและไม่ขัดขวางการแข่งขันของผู้ผลิต ศวส.จึง​จัดทำข้อเสนอต่อการปฏิรูประบบภาษีสรรพสามิตสุรา  ดังนี้

1.​สนับสนุนการจัดเก็บภาษีระบบหนึ่งบวกหนึ่งคือ เก็บตามปริมาณแอลกอฮอล์และตามมูลค่า และควรให้มูลค่าของภาษีที่จัดเก็บมีทิศทางการเก็บภาษีตามปริมาณแอลกอฮอล์ หรือ ตามสภาพ​ มากกว่าการจัดเก็บภาษีตามมูลค่า หรือ ราคาสินค้า ​การจัดเก็บภาษีสองระบบมีข้อดีและด้อยต่างกัน โดยการเก็บตามปริมาณจะสอดคล้องกับการส่งเสริมสุขภาพจะลดผลกระทบทางสังคมได้ แต่ก็มีความด้อยที่ค่าภาษีจะลดลงตามภาวะเงินเฟ้อ ถือเป็นภาษีลักษณะถดถอย จึงต้องใช้ระบบการเก็บภาษีตามมูลค่าของสินค้ามาคำนวณด้วย เพื่อไม่ให้สินค้าราคาแพง จ่ายภาษีเท่ากับสินค้าราคาถูก แต่ที่ไม่ใช้การเก็บภาษีตามมูลค่าอย่างเดียว เพราะจะไม่สามารถลดผลกระทบจากการดื่มได้ ผู้บริโภคยังดื่มเครื่องดื่มดีกรีสูงเช่นเดิม

2.​​สนับสนุนให้มีการกำหนดเพดานภาษีในระดับสูงและมีความเท่าเทียมกัน เนื่องจากอัตราภาษีที่จัดเก็บจริงของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางประเภทจัดเก็บในอัตราที่ต่ำกว่าเพดานภาษีมาก ที่ผ่านมาการปรับเพดานภาษี มีการปรับน้อยครั้ง จึงต้องเพิ่มเพดานภาษีพร้อมกับปรับอัตราภาษีให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งกำหนดให้มีการปรับอัตราภาษี1-2 ปีต่อครั้ง โดยอัตราภาษีที่จัดเก็บแต่ละประเภท ควรอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน​เพื่อสนับสนุนการแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบธุรกิจ

3.สนับสนุนให้มีการใช้ราคาขายปลีก​เป็นฐาน ในการคำนวณอัตราการจัดเก็บภาษีตามมูลค่า เพราะทำให้เกิดความชัดเจนในการจัดเก็บภาษี และป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี ที่อาจใช้กลยุทธ์ในการกำหนดราคาขายให้ต่ำ ​อีกทั้ง กรมสรรพสามิต ควรมีราคาขั้นต่ำของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละประเภทเพื่อใช้ในการจัดเก็บภาษี และเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ราคาขั้นต่ำควรถูกกำหนดโดยคณะกรรมการที่มีตัวแทนของผู้บริโภคเข้าร่วม