posttoday

ชีวิตความหวังหลังม่านเหล็ก

22 กุมภาพันธ์ 2558

“...ผมอยู่ที่นี่มา 3 ปี 3 เดือน 21 วัน แล้วครับ ยังต้องอยู่ในนี้อีก 10 ปีกับอีก 9 วันครับพี่...”

“...ผมอยู่ที่นี่มา 3 ปี 3 เดือน 21 วัน แล้วครับ ยังต้องอยู่ในนี้อีก 10 ปีกับอีก 9 วันครับพี่...”

เนื้อความในจดหมายฉบับหนึ่ง เขียนด้วยลายมือส่งตรงถึงผมในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้รับจดหมายจากเขาน่าจะเฉียดๆ 30 ฉบับแล้ว ในขณะที่ผมเองเป็นฝ่ายตอบจดหมายกลับไปหาเขาน้อยมาก

เรื่องน่าสนใจคือ จดหมายเกือบทุกฉบับลายมือไม่เคยเหมือนกัน แต่การใช้ภาษาและคในจดหมายคล้ายๆ กันทุกฉบับ เขาเขียนหนังสือไม่เป็น อ่านหนังสือไม่ออก เขาน่าจะวานให้ใครสักคนช่วยเขียนให้แล้วเขานั่งบอกอยู่ข้างๆ ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวทั้งหมดในจดหมาย เพื่อนเขียนตามที่เขาบอก หรือช่วยแต่งเติมเสริมคำให้ดูสละสลวยขึ้น

เขามักขึ้นต้นด้วยคำว่า “ก่อนอื่นต้องขอโทษครับพี่เอก ที่เขียนจดหมายมารบกวน” เขาน่าจะรู้สึกเกรงใจจริงๆ เพราะจดหมายทุกฉบับมักขึ้นต้นด้วยคำนี้ การกล่าวคำขอโทษในฐานะที่ยังไม่ได้ทำอะไร
ผิด ผมเลยไม่รู้ว่าจะยกโทษให้เขายังไง เพราะผมไม่รู้สึกว่าจดหมายของเขาเป็นการรบกวน ซ้ำผมดีใจที่มีโอกาสได้อ่านจดหมายจากเขา

เขาเรียกผมว่าพี่ทุกคำ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วเขามีอายุมากกว่าผม 2-3 ปี ในจดหมายฉบับหนึ่งเขาเขียนมาทำนองว่าตอนนี้ผมเปรียบเสมือนเป็นญาติที่เหลืออยู่คนเดียวของเขาที่ยังสามารถติดต่อได้ ผมไม่รู้ว่าเขาค้นหาที่อยู่ในการจ่าหน้าซองหาผมมาจากที่ไหน แต่หลังจากได้รับจดหมายฉบับแรกจากเขา ก็มีจดหมายฉบับอื่นๆ ส่งมาอย่างต่อเนื่องเกือบทุกเดือน

บางฉบับเขาเขียนตัดพ้อถึงญาติที่แท้จริงของเขาว่า เขียนจดหมายไปหาญาติ แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับเลย เขายังเคยขอให้ผมช่วยติดต่อญาติให้ เพราะเกรงว่าญาติอาจจะไม่ได้รับจดหมายของเขา แต่ผมรู้ดีว่าญาติได้รับจดหมายของเขาแล้ว แค่ไม่ได้ตอบกลับ และเงียบหายไปเสมือนไม่เคยได้รับการติดต่อจากเขามากกว่า

ผมรู้จักเขาครั้งแรกเมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว เขาเดินทางกลับมาจากประเทศมาเลเซียในฐานะผู้เสียหายจากการถูกค้ามนุษย์ เขาถูกนายหน้าหลอกไปทำงานบนเรือประมงอยู่ 2-3ปี เมื่อมีโอกาสหนีเขาจึงขึ้นฝั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียจับกุมในข้อหาเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต ตอนหลังจึงทำให้ทราบว่าเขาถูกหลอกไปบังคับใช้แรงงาน และได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งเพิ่งบังคับใช้ได้ไม่นาน (เรียกแบบภาษาคนทำงานว่า ช่วงกำลังเห่อกฎหมายใหม่)

หลังจากเขากลับมาอยู่บ้านเกิดเมืองนอนแล้ว ผมประสานงานหน่วยงานภาครัฐให้เข้าไปช่วยเหลือและติดตาม อย่างที่บอกว่าตอนนั้นกฎหมายค้ามนุษย์เพิ่งบังคับใช้ใหม่ๆ เขาเป็นเคสแรกๆ ที่เข้ารับการช่วยเหลือตามกฎหมายในส่วนของการเยียวยาตามระเบียบกองทุนป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ที่จะให้เงินเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการที่เขาต้องตกเป็นเหยื่อของการถูกค้ามนุษย์ ด้วยความที่เขาถูกหลอกไปบังคับใช้แรงงานนานหลายปี เขาจึงได้รับเงินชดเชยและเงินเยียวยานับแสนบาท

การเป็นเศรษฐีใหม่ในชั่วข้ามคืนของเขากลับกลายเป็นทุกขลาภในที่สุด แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะมีการวางแผนการใช้จ่ายเงินของเขาอย่างรัดกุมเพื่อการประกอบอาชีพแล้วก็ตามแต่คำว่าเงินและผลประโยชน์ ทำให้ญาติพี่น้องคนรู้จักเข้ามาหาเขาจำนวนมาก บ้างหยิบยืมบ้างขอ บ้างทะเลาะกันเมื่อเขาไม่ให้ จนในที่สุดเงินหมด และเขาหนีออกจากบ้านที่วุ่นวายนั้นอีกครั้ง

เขาหายไปนานเกือบปี อยู่มาวันหนึ่งมีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ เหมือนโทรจากต่างประเทศโทรเข้ามาหาผม เขาพูดสายและบอกว่า เขากลับมาทำงานบนเรือประมงอีกครั้ง รอบนี้เขาไม่ถูกหลอกแล้ว เขาสมัครใจมาเอง เพราะเขาไม่รู้ว่าจะไปทำงานอะไร หลายปีที่ผ่านมาเขาเคยทำแต่งานบนเรือประมง ที่นี่ง่ายที่สุดแล้วในการเปิดประตูต้อนรับคนไม่มีความรู้อย่างเขา เขาบอกว่าเขาสบายดีและจะติดต่อกลับมาหาผมเป็นระยะๆนี่คงคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเปรียบเสมือนญาติของเขา หลังจากนั้นเขาเริ่มโทรหาผมถี่ขึ้น จริงๆเขาไม่มีเรื่องจะพูดคุยอะไรมากมาย ผมรู้สึกว่ามันอาจเป็นช่วงเวลาที่ลูกเรือคนอื่นๆ จะได้โทรหาญาติเมื่ออยู่ตรงจุดที่มีสัญญาณโทรศัพท์ แต่เขาไม่รู้จะโทรหาใคร เพราะเขาเพิ่งหนีออกจากครอบครัวของเขาก่อนหน้านี้ เขาจึงโทรหาผมอย่างน้อยก็ยังมีคนให้โทรหา

จากนั้นเขาขาดการติดต่อไปอีก ชีวิตตัวคนเดียวคงร่อนเร่พเนจรตามชะตากรรม ผมไม่รู้ว่าคนที่ใช้ชีวิตตามลำพัง เวลาเขาป่วย เขาเหงา เขาทุกข์ใจ เขาจะหันหน้าไปหาใคร โชคดีเขาเป็นคนไม่ดื่มเหล้า ไม่งั้นเขาอาจปรับทุกข์กับขวดอยู่ก็ได้

ชีวิตความหวังหลังม่านเหล็ก

 

ปีต่อมาผมได้รับโทรศัพท์จากเขา เขาไม่ใช่ลูกเรือประมงแล้ว เขาโทรมาในฐานะผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย ผมรู้เรื่องราวเพียงสั้นๆ ว่า เขาย้ายไปทำงานเรือลำใหม่ แต่เรือลำนี้เขามีปัญหากับไต้ก๋งเรือ ถูกทำร้ายร่างกาย และด่าทอในระหว่างการทำงานหลายครั้ง เขาและลูกเรืออีกสองสามคนจึงตัดสินใจต่อสู้และฆ่าไต้ก๋งเรือ จากนั้นนำเรือกลับเข้าฝั่ง ทุกคนหนีไปหมด เหลือเพียงเขาบนเรือรอการถูกจับกุม เขาตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายโดยเจตนาและปล้นทรัพย์ ผมติดต่อหาทนายความไปช่วยเขาในชั้นศาล เขารับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และถูกพิพากษาจำคุก 13 ปี 4 เดือน

ผมพยายามหาจดหมายฉบับแรกที่เขาเขียนถึงผม แต่ผมหาไม่เจอ จำได้แต่เพียงว่าเขาเขียนมาบอกว่า เขาถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำจังหวัดไหนและขอให้ผมเขียนจดหมายหาเขาบ้าง

ผมเขียนจดหมายตอบโต้หาเขาประมาณ10 ฉบับ ผมไม่ได้เล่าอะไรมาก แค่ให้กำลังใจเขา และบอกให้เขาประพฤติตัวในเรือนจำให้เรียบร้อย รอวันที่จะได้อิสรภาพอีกครั้ง

เขาเริ่มเล่าถึงชีวิตในเรือนจำว่าต้องทำอะไรบ้าง เขาอยู่ในแผนกทำแหอวน เขาเล่าเพียงสั้นๆ แบบนี้ ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่องและพบว่าจริงๆ เขาคงมีเพื่อนในเรือนจำอยู่บ้างเพราะลายมือในจดหมายแต่ละฉบับแทบจะไม่เหมือนกัน นั่นหมายความว่าเขาคงมีเพื่อนให้ไหว้วานเขียนจดหมายมาให้ได้

ผมเคยพยายามไปเยี่ยมเขาที่เรือนจำถึง 2ครั้ง ระยะทางไกลจากกรุงเทพฯ นับพันกิโลเมตรทำให้การไปเยี่ยมเขาเกิดจากการที่ผมต้องมีงานมีภารกิจแถวนั้น โชคร้ายเพราะผมไปที่นั่นเพราะเรื่องงานอื่นๆ เป็นหลัก การไปเยี่ยมเขาทั้งสองครั้ง ผมจึงไม่เคยได้พบเขาเลย เนื่องจากมีญาติไปเยี่ยมนักโทษจำนวนมาก จนคิวการเยี่ยมเลยไปถึงช่วงบ่าย (แม้ว่าผมจะไปแต่เช้าแล้วก็ตามยังมีคนไปเช้ากว่าผมอีก) สุดท้ายผมไม่ได้เยี่ยมเขาในที่สุด ได้แต่เพียงเขียนจดหมายไปบอกเขาว่าได้พยายามไปเยี่ยมเขาแล้วที่เรือนจำ แต่มีเหตุจำเป็นต้องกลับไปก่อน ซึ่งเขาตอบกลับมาในจดหมายว่า ไม่เป็นไร

ผมไม่รู้ว่าจะเรียกการไปอยู่ในเรือนจำของเขาว่าอะไร บางครั้งผมคิดว่าเขาได้ถือโอกาสหยุดใช้ชีวิตที่เร่ร่อนพเนจร ได้พัก ได้มีสังคม ได้มีเพื่อนบ้าง แต่เขาคงปรารถนาอิสรภาพมากกว่าสังคมใดๆ ที่ผมอยากให้เขาเป็น

ผมสะท้อนใจในเนื้อความจดหมายที่เขาเฝ้ารอคอยอิสรภาพแบบนับวันรอ นับถอยหลังไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ...

จดหมายเกือบทุกฉบับ เขามักจะลงท้ายว่า“ช่วยตอบกลับมาด้วยนะครับ”หลังจบเรื่องเล่านี้ ผมสัญญาว่าจะเขียนจดหมายถึงเขา...

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด อาร์เซน่อล พบ คริสตัล พาเลซ คาราบาวคัพ วันนี้