ว่าด้วย Social Enterprise
โดย...สมาพร นิลประพันธ์
โดย...สมาพร นิลประพันธ์
ในยุคแห่งการปฏิรูปนี้มีการกล่าวถึง คำว่า Social Enterprise กันอยู่เป็นระยะ ซึ่งหากแปลคำว่า Social Enterprise เป็นภาษาไทยตรงๆ ตามพจนานุกรมอังกฤษ-ไทย ที่มีจำหน่ายทั่วไปตามท้องตลาด ก็ออกจะชวนงงอยู่ไม่น้อย เพราะจะแปลได้ว่าธุรกิจหรือกิจการสังคม
ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในห้วงแห่งความพิศวงสงสัยในเรื่องดังกล่าว เพราะเข้าใจมาโดยตลอดว่าการดำเนินธุรกิจนั้น ผู้ประกอบธุรกิจก็มุ่งที่จะแสวงหากำไร เพื่อประโยชน์ตนเองหรือผู้ถือหุ้นเป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบกิจกรรมทางสังคมนั้นก็มุ่งไปในทางที่จะลดความเหลื่อมล้ำของผู้คนในสังคม เรียกว่าทางใครทางมัน
จะมีบ้างที่ผู้ประกอบธุรกิจจัดกิจกรรมเพื่อสังคม ที่เรียกว่า Corporate Social Responsibility หรือ CSR แต่ก็ยังประกอบธุรกิจเพื่อมุ่งหากำไรสูงสุดเหมือนเดิม เพียงแต่แบ่งรายได้หรือกำไรบางส่วนมาทำกิจกรรมเพื่อสังคมบ้างเท่านั้น
เมื่อ CSR มีผลดีในตัวเองอยู่บ้าง หลายประเทศจึงส่งเสริมให้มีการทำ CSR กันให้มากไว้ โดยมีแรงจูงใจสำคัญคือการให้ผู้ประกอบการสามารถนำรายจ่ายที่ใช้ในกิจกรรม CSR มาลดหย่อนภาษีได้ด้วยซึ่งย่อมทำให้ผู้ประกอบการได้กำไรมากขึ้นผู้ประกอบธุรกิจจึงนิยมทำ CSR กันมาก แต่ก็เพื่อกระเป๋าของตัวเอง
แถมพักหลังๆ นี้ CSR กลายเป็นส่วนหนึ่งของการประชาสัมพันธ์กิจการด้วยซ้ำไปว่ากิจการของฉันรักษ์โลก รักษ์สังคม เหมือนน้องเนย รักโลก อะไรประมาณนั้น แต่สิ่งที่กิจกรรม CSR ไม่มีก็คือความต่อเนื่อง และเมื่อไม่ต่อเนื่อง การดำเนินกิจกรรมต่างๆก็ขาดความยั่งยืน ลงท้ายก็กลับไปเหมือนเดิม แต่ผู้ประกอบธุรกิจได้กำไรไปแล้ว
แล้วเจ้า Social Enterprise นี้คืออะไร? จากการศึกษาเรื่องนี้ลึกลงไปจากข้อเขียนและตำราต่างๆ (นอกจากในWikipedia ที่ปัจจุบันมีผู้อ้างเป็น Reference ในเอกสารวิชาการกันแล้ว) ผู้เขียนพบว่าแนวคิดเรื่อง Social Enterprise เป็นการดำเนินธุรกิจที่มุ่งให้เกิดประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมในด้านต่างๆ อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
เช่น เพื่อให้คนในชุมชนดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในสังคมร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนบ้าง เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงในชุมชนอันเกิดจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม
สิ่งแวดล้อม หรือวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง เพื่อสร้างงานหรือลดช่องว่างหรือความเหลื่อมล้ำในสังคมบ้าง
จะเรียกว่าเป็นการประกอบธุรกิจเพื่อนำรายได้มาหมุนเวียนใช้เพื่อสร้างความวัฒนาผาสุกในชุมชนหรือสังคมก็ได้ เมื่อหลักการของ Social Enterprise มีความหลากหลายเช่นนี้ ตำรับตำราต่างๆ จึงให้นิยาม Social Enterprise แตกต่างกันไป อย่างไรก็ดี ผู้เขียนสังเกตว่า Social Enterprise ตามตำราต่างๆ นั้น มีลักษณะร่วมกัน 4 ประการด้วยกัน
ประการที่หนึ่ง เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม หรือสิ่งแวดล้อมของชุมชนหรือสังคมโดยรวมอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำกันแบบฉาบฉวยเหมือน CSR
ประการที่สอง องค์กรนั้นทำการค้า (Trade) เพื่อแสวงหารายได้หรือกำไร แต่มิได้มุ่งที่จะนำรายได้หรือกำไรนั้นมาแบ่งปันกันในระหว่างสมาชิกหรือผู้ถือหุ้น แต่เพื่อนำมาใช้ในการดำเนินกิจกรรมเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังที่กล่าวแล้ว ประการที่สาม รายได้หลัก (Substantial Income) ขององค์กรนั้นได้มาจากการทำการค้า ประการที่สี่ องค์กรนั้นนำกำไรหรือรายได้ส่วนเกิน (Profit or surplus) ส่วนใหญ่มาลงทุนอย่างต่อเนื่อง (Reinvest) ในกิจกรรมที่ก่อให้เกิดสิ่งที่เป็นประโยชน์สาธารณะหรือที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
วัตถุประสงค์หลักของ Social Enterprise นั้น ได้แก่ การสร้างงาน (Employment) หรือการประกอบกิจการที่สร้างงานสร้างรายได้ในชุมชนโดยใช้คนในชุมชน และมีการพัฒนาศักยภาพของคนในชุมชนผ่านการศึกษาฝึกอบรมให้มีทักษะ ฝีมือ หรือความคิดสร้างสรรค์ การให้บริการแก่ชุมชน (Service Delivery)หรือการประกอบธุรกิจที่ก่อให้เกิดหรือรักษาไว้ซึ่งบริการ อันเป็นที่ต้องการของชุมชนและการสร้างรายได้แก่ชุมชน (Income Generation)
สำหรับหน้าตาของ Social Enterprise ตามหลักการดังกล่าวสำหรับคนที่ยังนึกภาพไม่ออกนั้น เช่น การประกอบธุรกิจรับเลี้ยงเด็กเล็กในชุมชน และนำรายได้ที่ได้รับจากกิจการดังกล่าวมาพัฒนาคุณภาพอาหารเด็ก หรือจัดกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้เด็กมีความใกล้ชิดกับครอบครัว หรือการประกอบธุรกิจโรงงานโดยใช้วัตถุดิบและแรงงานในชุมชน เพื่อนำเงินรายได้วนกลับมาพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบหรือทักษะฝีมือแรงงานในชุมชน หรือให้ค่าจ้างเพิ่ม เป็นต้น
ผู้เขียนเห็นว่าการประกอบธุรกิจแบบ Social Enterprise นี้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศอย่างมาก เนื่องจากเป็นการประกอบธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของสังคม (Social Value) มากกว่าผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล (Individual Benefit) ตามแนวทางประกอบธุรกิจกระแสหลักของโลกยุคบริโภคนิยม (Consumerism) ที่ใครมือยาวสาวได้สาวเอาในปัจจุบัน
อีกทั้งการประกอบธุรกิจแบบ Social Enterprise นี้ ยังสอดรับได้เป็นอย่างดีกับการดำรงชีวิตตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานไว้ ดังนั้น ผู้เขียนจึงเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้ความเห็นชอบกับข้อเสนอเรื่อง Social Enterprise ในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมีข้อกังวลประการหนึ่งที่ขอฝากไว้ โดยจากการศึกษาแนวทางของต่างประเทศนั้น ทุกประเทศเขาให้ความสำคัญกับการพิจารณาเรื่องต่างๆ (รวมทั้งเรื่อง Social Enterprise ด้วย) ในแง่เนื้อหาหรือเจตนารมณ์ที่แท้จริงมากกว่ารูปแบบที่ปรากฏ
ขณะที่คนไทยคุ้นชินกับการพิจารณาเรื่องต่างๆ ในแง่ของรูปแบบมากกว่าเนื้อหา ผู้เขียนจึงไม่แน่ใจว่าอนาคตของ Social Enterprise ของไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป เพราะแว่วว่ามีการเสนอให้มีการออกกฎหมายเพื่อจัดตั้ง Social Enterprise ขึ้นเป็นการเฉพาะ
หากเป็นเช่นนั้นจริง เราอาจได้ Social Enterprise ในทางรูปแบบมากกว่าเนื้อหาอย่างที่เราต้องการ เพราะกฎหมายเป็นเรื่อง “การบังคับ” แต่ Social Enterprise เกิดขึ้นจาก “ความมุ่งมั่น” หรือ “ความรู้สึกรับผิดชอบ” ของผู้ประกอบธุรกิจที่เห็นความสำคัญคุณค่าของสังคม (Social Value) มากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
ผู้เขียนจึงเห็นว่าการพัฒนา Social Enterprise ควรใช้มาตรการส่งเสริมมากกว่าการกำกับหรือควบคุม การบังคับโดยกฎหมายจึงอาจขัดขวางการพัฒนา Social Enterprise รวมทั้งนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องได้ จึงขอฝากประเด็นนี้ไว้เป็นข้อคิดด้วย


