LNG กับสมดุล การผลิตก๊าซในประเทศ
โดย...จันทร เศาภายน
โดย...จันทร เศาภายน
ก๊าซธรรมชาติ (Natural Gas-NG) นั้น เดิมบริษัทน้ำมันมักไม่ค่อยสนใจเพราะปนมากับน้ำมันดิบ (Crude Oil) แต่ NG ขนส่งลำบากกว่า Crude ต้องวางท่อก๊าซในการขนส่ง ราคาก็ถูก จึงจะเห็นว่าในบางประเทศที่ไม่มีความต้องการใช้ก๊าซมักจะเผา NG ทิ้งไปเฉยๆ
สำหรับประเทศอย่างญี่ปุ่นที่ไม่มีทรัพยากรพลังงานของตัวเอง ต้องพึ่งพาการนำเข้า NG เพื่อให้ความอบอุ่นในอาคารบ้านเรือน รวมทั้งใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ซึ่งมีราคาสูงกว่ามาก ส่วนประเทศไทยส่วนใหญ่ใช้ NG เพื่อการผลิตไฟฟ้า จึงเริ่มมีการซื้อ/ขายกันโดยใช้การเทียบเคียงค่าความร้อนที่ได้จากก๊าซธรรมชาติกับค่าความร้อนที่ได้จากน้ำมันเตา เพื่อคิดเป็นราคาก๊าซธรรมชาติ เพราะถือเป็นเชื้อเพลิงทางเลือก แต่ราคาก๊าซธรรมชาติจะถูกกว่าเพราะข้อจำกัดข้างต้น โดยสูตรราคาอาจเทียบเท่าราคาน้ำมันเตาเพียง 40%
ราคา NG ในประเทศไทย จะปรับราคาตามราคาน้ำมันเตาไม่ใช่ราคาน้ำมันดิบ อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาก็มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน วันละหลายๆ ครั้งเช่นเดียวกับราคาทองคำ จึงต้องใช้ราคาถัวเฉลี่ย บางสัญญาการปรับราคาจึงใช้ราคาย้อนหลังไป 6 เดือน ราคาก๊าซธรรมชาติจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรองในแต่ละสัญญา
ทั้งนี้ จะซื้อขาย NG ได้ก็ต้องมีการสร้างระบบท่อก๊าซ ซึ่งเป็นการลงทุนที่สูงมาก เช่นในยุโรปที่มีโครงข่ายท่อก๊าซเชื่อมโยงถึงรัสเซีย หรือกรณีของไทยที่ต้องวางท่อจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยขึ้นบก โดย ปตท.เป็นผู้ลงทุนสร้าง เมื่อแหล่ง NG อยู่ห่างไกลผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จึงมีการพัฒนาให้สามารถแปลงสภาพก๊าซธรรมชาติ (NG) ให้เป็นของเหลว (Liquefied Natural Gas-LNG) โดยการลดอุณหภูมิ NG ลงที่ -160 องศาเซลเซียส เพื่อสะดวกในการขนส่งทางเรือ จึงมีการพัฒนาเรือเพื่อใช้ในการขนส่ง LNG โดยเฉพาะขึ้นมา
เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการที่เกี่ยวข้องกับก๊าซธรรมชาตินั้นสูงมาก โดยเฉพาะสำหรับโครงการผลิต LNG ดังนั้นสัญญาซื้อ/ขาย LNG มักต้องเป็นสัญญาระยะยาว ส่วนใหญ่จะผูกพันกัน 20-30 ปี เพื่อให้คุ้มค่าในการลงทุน และเพื่อเป็นหลักประกันรายได้ของผู้พัฒนาโครงการในการหาแหล่งเงินทุนสำหรับพัฒนาโครงการในระยะยาว ราคาจึงขึ้นอยู่กับอุปสงค์กับอุปทาน ซึ่งตลาดการค้าขาย LNG นั้นมีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยรายเมื่อเทียบกับตลาดการค้าน้ำมัน ปัจจุบันมีโรงงานผลิต LNG (Liquefaction Plant) เพียง 24 โรงงาน มีโรงงานแปรสภาพ LNG กลับเป็นก๊าซ (Regasification Terminal) เพียง 104 คลังในโลก
ปัจจุบัน รูปแบบการค้าขาย LNG มีแนวโน้มที่จะค้าขายในตลาดจร (Spot Market) มากขึ้น ปัจจุบันมีการซื้อขาย LNG ในตลาดจรประมาณ 30% ของการค้าขาย LNG ทั้งหมดในโลกที่มีปริมาณ 250 ล้านตัน/ปี ที่ส่วนใหญ่จะซื้อขาย LNG ภายใต้สัญญาระยะยาว ที่ผ่านมาไทยสามารถนำเข้า LNG แบบ Spot หรือซื้อระยะสั้นเป็นลำๆ อาจจะได้ราคาสูงบ้างต่ำบ้างขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด LNG ในขณะนั้น แต่อาจทำให้ขาดความมั่นคงทางพลังงานเนื่องจากในสภาวะที่ตลาดตึงตัว (Tight Market) อาจทำให้จัดหา LNG ไม่ได้ หรือจัดหาได้แต่ราคาสูงมาก
ปัจจุบัน บริษัท PTTLNG ได้สร้างและดำเนินการเชิงพาณิชย์โครงการ LNG Receiving Terminal ที่มาบตาพุด ตั้งแต่เดือน ก.ย. 2554 โดยมีความสามารถขนถ่ายและแปรสภาพ LNG ได้ด้วยกำลังการผลิต 5 ล้านตัน/ปี โดยในช่วงการดำเนินการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เหลือการทดสอบขั้นสุดท้าย PTTLNG ได้นำเข้า LNG เพื่อทดสอบระบบในเดือน พ.ค. แต่เกิดมีเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือ ท่อ NG เส้นแรกในอ่าวไทยรั่ว ซึ่งอาจทำให้เกิดวิกฤตการณ์ไฟฟ้าดับได้ เพราะมี NG ไม่เพียงพอในการผลิตกระแสไฟฟ้า PTTLNG จึงได้เดินเครื่องก่อนกำหนด ทำให้ประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตการณ์นั้นมาได้
PTTLNG จะขยายความสามารถในการขนถ่าย LNG จากปัจจุบันที่ 5 ล้านตัน/ปี เป็น 10 ล้านตัน/ปีในปี 2560 และอาจจะขยายเป็น 15 ล้านตัน ดังนั้น ประเทศไทยจึงต้องตัดสินใจโดยเร่งด่วนว่าควรจะทำสัญญาซื้อ LNG ระยะยาวเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด จากที่มีสัญญาระยะยาวสัญญาแรกกับประเทศกาตาร์ในปริมาณ 2 ล้านตัน/ปี เนื่องจากสัญญาประเภทนี้มักจะมีข้อกำหนดว่า ถ้าไม่ซื้อตามจำนวนในสัญญาในแต่ละปี ผู้ซื้อก็ยังต้องจ่ายตามปริมาณขั้นต่ำที่ตกลงไว้ (Take or Pay) แต่สามารถมารับ LNG ส่วนที่จ่ายเงินไปแล้วเพิ่มในภายหลัง (Make Up) ได้ อย่างไรก็ตามการจัดหา LNG เข้าประเทศไทยจำเป็นต้องมีการจัดหาในรูปแบบสัญญาระยะยาวให้เหมาะสม เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ
ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังต้องคำนึงถึงความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศไปพร้อมๆ กับการพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมในประเทศ ซึ่งประเด็นเฉพาะหน้าคือการเดินหน้าสัมปทานรอบ 21 ของรัฐบาล เพราะหากมีโอกาสผลิต NG ในประเทศได้เพิ่มขึ้น นอกจากปริมาณ LNG ในสัญญาระยะยาว รวมทั้งการขยาย LNG Receiving Terminal ที่ควรทำจะลดลงแล้ว ต้นทุนการผลิตและราคาไฟฟ้าสำหรับคนไทยจะถูกลงด้วย n
...................................................................................
ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน มิใช่ขององค์กรใด


