รวบกะเทยตุ๋นญี่ปุ่น100ล้านอ้างมีปมฝังใจถูกลวงปล่อยเกาะ
กองปราบจับกระเทยหลอกตุ๋นชาวญี่ปุ่นให้โอนเงินกว่า 100 รายมูลค่า 100 ล้านบาท เจ้าตัวอ้างเคยถูกชาวญี่ปุ่นหลอกไปทิ้งที่เกาะจึงแค้น
กองปราบจับกระเทยหลอกตุ๋นชาวญี่ปุ่นให้โอนเงินกว่า 100 รายมูลค่า 100 ล้านบาท เจ้าตัวอ้างเคยถูกชาวญี่ปุ่นหลอกไปทิ้งที่เกาะจึงแค้น
เมื่อวันที่ 28 ม.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กองกำกับการปฎิบัติการพิเศษ กองบังคับการปราบปราม (กก.ปพ.บก.ป.) นำโดย พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รักษาราชการแทน ผกก.ปพ.บก.ป. แถลงจับกุม นายอุทัย นันทะขันธ์ สาวประเภทสองอายุ 40 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่ 2455/2548 ลงวันที่ 29 พ.ย. 2548 ในข้อหา "ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธมีดและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และใช้บัตรเครดิตของผู้อื่นโดยมิชอบ" โดยจับกุมได้ที่ ราชครูอพาร์ทเม้นท์ ซอยสุขุมวิท 93 แขวงบางจาก เขตพระโขนง กทม.
พ.ต.อ.สรายุทธ สงวนโภคัย รองผู้บังคับการกองปราบปราม (รองผบก.ป.) กล่าวว่า สืบเนื่องจากทางกองปราบปรามได้รับการประสานงานจากสถานฑูตญี่ปุ่น ประจำประเทศไทย แจ้งมาว่า มีนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาท่องเที่ยวและทำธุรกิจในประเทศไทยจำนวนมากถูกคนร้ายมีลักษณะเป็นสาวประเภทสองหลอกต้มตุ๋นให้โอนเงินโดยวิธีต่างๆ ทำให้สูญเงินเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทน ผบก.ป. จึงได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ต่อศักดิ์ นำกำลังสืบสวนจับกุม ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมสืบทราบมาว่านายอุทัย ผู้ต้องหารายนี้ อาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ดังกล่าวจึงนำกำลังซุ่มโป่งเมื่อพบผู้ต้องหาออกมาจากที่พักจึงแสดงตัวเข้าจับกุมก่อนคุมตัวมาสอบสวน
ด้าน พ.ต.อ.ต่อศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ของผู้ต้องหารายนี้จะเลือกเหยื่อเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ตามย่านเศรษฐกิจ เช่น ทองหล่อ อโศก เอกมัย สุขุมวิท นานา และสีลม โดยจะเข้าไปทำทีตีสนิทหลอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ หรือไต้หวัน เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทสไทย แต่ได้ทำกระเป๋าสตางค์หาย ไม่มีเงินติดตัว ขอให้เหยื่อช่วยติดต่อกับเพื่อนตามหมายเลขโทรศัพท์ แต่เป็นหมายเลขที่ไม่สามารถติดต่อได้ พอเหยื่อเห็นจะเกิดความสงสารจะให้เงิน แต่นายอุทัยจะไม่รับเงิน โดยจะบอกกับเหยื่อว่าได้ติดต่อกับครอบครัวที่ประเทศสิงคโปร์ให้โอนเงินมาให้และขอใช้บัญชีธนาคารของเหยื่อ
"นายอุทัยจะใช้วิธีหลอกโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์แบงค์กิ้ง ว่าเงินได้โอนมาที่บัญชีเหยื่อแล้ว เมื่อเหยื่อเห็นยอดเงินที่โอนเข้ามาแต่ยังไม่สามารถเบิกเงินได้ต้องรออีกประมาณ 3-5 วันเหยื่อชาวญี่ปุ่นหลงเชื่อ จึงกดเอทีเอ็มเบิกเงินให้ผู้ต้องหาไปก่อน เมื่อครบกำหนดใช้เงินแล้ว กลับไม่มีเงินโอนเข้ามาที่บัญชีของเหยื่อจริง"พ.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าว
เบื้องต้นพบว่านายอุทัย กระทำในลักษณะนี้มาเป็นระยะเวลากว่า 10 ปีแล้ว มีผู้เสียหายกว่า 100 ราย ได้เงินไปราวๆ 100 ล้านบาท จำนวนมูลค่าความเสียหายที่หลอกเหยื่อได้ในแต่ละครั้งจะอยู่ที่ 2.5 หมื่นบาท สูงสุดบางรายถูกหลอกเป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยครั้งสุดท้ายที่ก่อเหตุเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา ได้เงินไปจำนวน 9 หมื่นบาท
สอบสวนนายอุทัย ให้การรับสารภาพว่า ที่เลือกเหยื่อเป็นชาวญี่ปุ่นและเป็นผู้ชายทั้งหมดเพราะว่าตนไม่ชอบคนญี่ปุ่น เพราะว่าฝังใจเจ็บเนื่องจากก่อนหน้านั้นสมัยที่เรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ได้ถูกชายชาวญี่ปุ่นหลอกไปเที่ยวเกาะพีพี แล้วถูกปล่อยทิ้งไว้ที่นั่น ซึ่งตอนนั้นไม่มีอะไรเงินติดตัวเลยเพราะว่ายังเรียนอยู่ กลับบ้านก็ไม่ได้ ตอนนั้นลำบากมาก ทำให้ผูกใจเจ็บตั้งแต่นั้นมาและคิดหาทางหลอกเอาคืนคนญี่ปุ่นมาตลอดโดยที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งเลย ตั้งแต่ที่ตนก่อเหตุมาจำนวนเงินเยอะจนไม่สามารถจดจำได้ โดยเงินที่ได้มาจะนำไปใช้เที่ยวเตร่ เลี้ยงเด็กผู้ชายซื้อของเล่นให้ ทำบุญและซื้อทรัพย์สินต่างๆ เช่น สร้อย แหวน ทอง และอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก
"จะเลือกเหยื่อพวกนักธุรกิจที่มีความรู้เยอะหน่อยเพราะเวลาคุยกันจะรู้เรื่องและหลงเชื่อง่าย ก่อนหน้านี้หลายปีจะใช้เวลาในการหลอกล่อเหยื่อน้อยมาก แต่ปัจจุบันธนาคารของญี่ปุ่นจะมีระบบป้องกันที่ซับซ้อนมาก เวลากดเงินจะไม่ออกมาทุกครั้ง โดยทุกครั้งตนจะทำคนเดียวตลอดไม่มีคนอื่นร่วมด้วย ส่วนวิธีการหลอกลวงเหยื่อเงินตนจะทำทีเป็นโอนเงินเข้าบัตรเครดิตของเหยื่อโดยใช้บริษัทที่บริการรับ-ส่งเงินจากต่างประเทศ เมื่อเหยื่อตรวจสอบแล้วพบยอดเงินที่โอนเข้ามาแต่เนื่องจากวิธีการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ยังมีข้อบกพร่อง ซึ่งบัตรเครดิตจะไม่สามารถโอนเงินได้เมื่อมีการโอนจะมีการตัดยอดการโอนทิ้งหลังจากวันโอน 1 เดือน ทำให้ช่วงนั้นเหยื่อยังไม่รู้ว่าเงินไม่ได้ถูกโอนเข้ามา"นายอุทัย กล่าว
นายอุทัย กล่าวอีกว่า ตอนที่ตนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำก็เคยคิดที่จะเลิกทำ แต่เมื่อออกมาก็เจออีเมล์ที่ส่งมาต่อว่าตนและมีชาวญี่ปุ่นนำรูปตนไปโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตเรื่อยๆ และมีข้อความโพสต์เป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ไม่ชอบกระเทย ทำให้ตนโกรธและบอกไปว่าหากไม่หยุดโพสต์ตนก็จะหลอกลวงคนญี่ปุ่นเรื่อยๆ ทั้งนี้ตอนแรกที่ตนทำเรื่องดังกล่าวไม่คิดว่าจะมีเรื่องเงินเข้ามาเยอะขนาดนี้ แต่พอทำไปทำมารู้สึกว่ามันได้เงินมาง่ายทำให้ตนเคยชิน เลยทำต่อมาเรื่อยๆ
"อยากฝากบอกคนญี่ปุ่นว่า ไม่ว่าเราจะเป็นคนเชื้อชาติไหนก็ตามอย่าได้คิดที่จะดูถูกคนอื่นว่าเค้าจะมีค่าแค่ 2-3 พัน อย่างที่คุณเคยทำ เราเจ็บช้ำน้ำใจมากถ้าเป็นเขาโดนจะรู้สึกอย่างไร"นายอุทัยกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะสอบสวนนายอุทัยอย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อขยายผลว่ามีผู้ร่วมกระทำความผิดหรือไม่ จากนั้นจะนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ เจ้าของคดี ดำเนินการต่อไป
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ปี 2555 เวลา 12.20 น. นายอุทัย ได้ถูกเจ้าหน้าที่สืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลจับกุม ในคดีฉ้อโกงนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นในท้องที่ สน.ทองหล่อ และถูกตัดสินจำคุก 8 เดือน จนพ้นโทษออกมาเมื่อปี 56 ก่อนออกมาก่อเหตุซ้ำ กระทั่งตำรวจกองปราบตรวจสอบแล้วพบว่ามีหมายจับค้างเก่าที่หลบอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรรมจึงนำกำลังเข้าจับกุมดังกล่าว


