อย่าปล่อยให้วัดร้าง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงอดีตพระเกษมอาจิณฺณสีโล แห่งสำนักสงฆ์ป่าสามแยก จ.เพชรบูรณ์ เสพเมถุนกับลูกศิษย์ของตัวเอง
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมเขียนถึงอดีตพระเกษมอาจิณฺณสีโล แห่งสำนักสงฆ์ป่าสามแยก จ.เพชรบูรณ์ เสพเมถุนกับลูกศิษย์ของตัวเอง
ที่ต้องเขียนถึง เพราะเกรงชาวพุทธจะสับสนหลงเชื่อไปตามที่อดีตพระเกษมอ้างว่าเป็นการทำไปโดยไม่รู้ตัวปราศจากสติ
ซึ่งหากมองที่ข้อเท็จจริงและความเป็นไปได้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยกับข้ออ้างของอดีตพระเกษมที่ว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว
เพราะอดีตพระเกษมบอกว่าได้ล่วงละเมิดทางเพศกับลูกศิษย์ถึงสองครั้ง แต่ลูกศิษย์บอกร่วมสิบครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาอ้างว่าทำไปโดยไม่รู้ตัว และขณะทำยังไม่มีอารมณ์อีก
การพูดอย่างนั้นของอดีตพระเกษมจึงเป็นการแถหรือเป็นคนประเภทหัวหมอที่พยายามใช้ความรู้ในหลักของพระวินัยมาอ้างเพื่อให้ชาวพุุทธเขวว่าที่ตัวเองทำนั้นไม่ผิด
สุดท้ายตัวเองก็ยอมสละเพศบรรพชิต เพราะคงไม่มีอะไรที่จะมาแก้ไขความผิดโทษทางพระวินัยสูงสุดคือปาราชิกต้องขาดจากความเป็นพระทันทีได้ เพราะการที่ตัวเองยอมรับว่าทำจริงเป็นหลักฐานมัดแน่น
แต่เรื่องที่น่าใจหายคือ มีคนเชื่อว่าอดีตพระเกษมไม่ผิด นี่คือเรื่องที่ผมมองว่าน่าห่วงว่าชาวพุทธไทยลองได้รักและศรัทธาใครแล้วมักจะหลงหัวปักหัวปำแบบขาดสติ มีความเห็นผิด ไม่รู้จักแยกแยะ
จนกลายเป็นว่า ตัวบุคคลสำคัญกว่าหลักการ (ธรรมวินัย) ไปแล้ว น่าห่วงมาก
ทั้งที่หลักการคือพระธรรมวินัย เป็นสิ่งที่ชาวพุทธต้องรักษาไว้ให้มั่นคงสถาพรสืบต่อไป ส่วนใครที่ทำผิดธรรมวินัยก็ต้องว่าไปตามผิด ไม่อย่างนั้นธรรมวินัยก็ไม่มีความหมาย
ยิ่งปัจจุบันวงการสงฆ์เรามีหลายเรื่องที่เป็นปัญหาโดยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องของวิธีการสอนหรือการถ่ายทอดคำสอนหรือพระธรรมวินัยของพระบางรูปจนเกิดความไม่ลงรอยของชาวพุทธด้วยกันเอง
นี่คือเรื่องที่หน่วยงานทางคณะสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกระดับชั้นจะต้องหาทางแก้ไขให้ชัดเจน อย่าปล่อยให้คาราคาซังไปกว่านี้ เพราะปัจจุบันก็แก้ไขยากเต็มที
ว่าแต่เรื่องที่จะเขียนในวันนี้ก็ยังเกี่ยวกับวัดวาอารามพระศาสนาเหมือนเดิมครับ ทว่าเป็นเรื่องที่ชวนหดหู่ใจไม่น้อยก็คือเรื่อง “วัดไม่มีพระเณรอยู่”
หากท่านได้ติดตามในช่วงที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ได้นำเสนอข่าววัดวัดหนึ่งไม่มีพระภิกษุสามเณรมาอยู่จำพรรษามาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว
ชื่อว่า วัดเขาพระนิกรปทุมรักษ์ ซึ่งตั้งอยู่หมู่ 12 ต.หนองกลับ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ ตอนนี้อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม มีหญ้าต้นไม้เล็กขึ้นปกคลุมไปทั่วบริเวณหน้าวัด
ขณะที่ภายในกุฏิแต่ละหลังพบกองข้าวของเครื่องใช้ภายในวัด รวมถึงธูปและจีวรถูกกองทิ้งไว้อย่างไม่เป็นระเบียบจำนวนมาก
นึกดูให้ดีนะครับว่า ตลอดเวลาที่ไม่มีพระเณรอยู่มาเป็นปี สภาพวัดหน้าตาจะเป็นยังไง หยากไย่ ขยะ ฝุ่นที่เกาะบนพื้นกุฏิ โบสถ์ ศาลา จะขนาดไหน
อยู่ในสภาพวัดร้างชัดๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านเจ้าคณะตำบลที่มีหน้าที่ดูแลวัดในตำบลทำไมถึงปล่อยให้วัดร้างไม่ส่งพระมาดูแล
เพราะถ้าทางเจ้าคณะตำบลไม่มีพระที่จะมาดูแลก็ต้องส่งเรื่องไปที่เจ้าคณะอำเภอ และจังหวัดเป็นลำดับ เชื่อว่ายังไงก็ต้องมีพระแน่นอน ไม่ใช่ปล่อยให้วัดร้างมาแรมปี
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ทางเจ้าคณะตำบลหนองกลับได้ส่งพระเข้ามาดูแลทรัพย์สินของวัดและป้องกันไม่ให้วัดถูกทิ้งร้างแล้วเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2557 ที่ผ่านมา
โดยพระที่เข้ามาประจำอยู่ที่วัดเขาพระนิกรปทุมรักษ์นั้น เผยว่า วัดดังกล่าวถูกปล่อยให้ร้างมาเกือบ 1 ปีแล้ว เนื่องจากเจ้าอาวาสรูปก่อนได้ลาสิกขาไปแต่งงานมีครอบครัว
ที่แย่กว่านั้น พระลูกวัดที่เหลือพอไม่มีเจ้าอาวาสก็เคว้งคว้างพากันแยกย้ายไปประจำอยู่ที่วัดต่างๆ ในเขตเมืองซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญ ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้นก็ไม่ได้เข้าวัดทำบุญอีกเลย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วัดถูกทิ้งร้าง เนื่องจากวัดอยู่ในพื้นที่แห่งไกลความเจริญ ขณะเดียวกันชุมชนที่อยู่ติดวัดก็เป็นชุมชนขนาดเล็ก ไม่ค่อยมีชาวบ้านเข้าไปทำบุญ จึงทำให้พระอยู่ลำบาก
จากปัญหาดังกล่าวชวนให้ฉุกคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นคณะสงฆ์และหน่วยงานทางพระพุทธศาสนาต้องหันมาใส่ใจ เพราะต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีวัดจำนวนไม่น้อยกำลังจะมีสภาพดังเช่นวัดนี้


