posttoday

"ค่านิยม12ประการ" ต้องเกิดจากสำนึกไม่ใช่ท่องจำ

03 มกราคม 2558

การเรียนรู้ค่านิยมที่ออกมาจากนโยบายรัฐบาลนี้ ยังเป็นเพียงวิธีการที่ผิวเผินกว่าที่ควรจะเป็น

โดย...ธเนศน์ นุ่นมัน

ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ผลงานของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ยังไม่มีเรื่องใดเด่นชัดมากไปกว่าการโหมปลูกฝังแนวคิดค่านิยม 12 ประการ ซึ่งเป็นนโยบายจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และก็เป็นเรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ตั้งคำถามมากที่สุด ว่าแม้จะทุ่มงบประชาสัมพันธ์เพียงใด ก็ยากจะประสบความสำเร็จ ซ้ำร้ายยังถูกมองว่าเป็นผลผลิตที่เกิดจากรัฐบาลเผด็จการทหาร เป็นแนวคิดที่ล้าหลัง

อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นว่า เมื่อพูดถึงคำว่าค่านิยม สิ่งที่รับรู้ร่วมกันตามความหมายคือเรื่องที่ประกาศโดยรัฐบาลว่ากำลังจะส่งเสริมให้เกิดขึ้นในแต่ละสังคม เป็นสิ่งที่รัฐคาดหวังจากประชาชนให้คนส่วนใหญ่เห็นร่วมไปในทิศทางเดียวกัน อาจจะเรียกว่า “รัฐนิยม” หรือนโยบายที่รัฐอยากเห็นประชาชนเอาอย่าง

เมื่อกลายมาเป็นค่านิยม 12 ประการ สิ่งที่เกิดขึ้นชัดเจน คือ แนวคิดนี้กลับไปเน้นที่ตัวของเด็กและเยาวชน โดยเครื่องมือที่เร็วที่สุดสำหรับใช้กับคนกลุ่มนี้ คือการบรรจุเข้าไปในหลักสูตรการศึกษา

“ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ทุกประเทศทั่วโลกออกแบบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีการปลูกฝังค่านิยมลงไป แต่รัฐต้องตอบคำถามให้ได้ว่าค่านิยมที่ถูกเขียนขึ้นนั้น ถูกเอาไปสอนหรือนำไปใช้ปลูกฝังแบบไหน” นักวิชาการรายนี้ ระบุ

อรรถพล กล่าวว่า แนวคิดการเรียนการสอนค่านิยมนั้น ไม่สามารถนำไปใช้ทื่อๆ ตรงๆ ได้ สิ่งที่ควรทำคือ ต้องสอดแทรกอยู่ในสาระความรู้ตามหลักสูตรในกลุ่มวิชาต่างๆ ให้เกิดการใฝ่รู้ ค้นคว้าเรื่องต่างๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความต่อเนื่อง

“ค่านิยมที่นำไปบรรจุในการศึกษาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ทำอย่างไรให้มันแยบคายกลายเป็นวิถีชีวิตของนักเรียน แต่พอมันเป็นแคมเปญ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ในรูปแบบของป้ายหน้าโรงเรียน เป็นคำขวัญ บทอาขยาน เพลง หนังสั้น หรือกระทั่งสติ๊กเกอร์ไลน์ ทั้งหมดอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงจากข้างใน เพราะเด็กไม่ได้เรียนรู้ค่านิยมผ่านการคิด” อรรถพล กล่าว

นักวิชาการรายนี้อธิบายด้วยว่า การเรียนค่านิยมที่ได้ผล ไม่ใช่การท่องจำ ไม่ใช่แค่สอนความหมายของค่านิยมแต่ละข้อ และไม่ใช่เรื่องที่ภาครัฐจะต้องเร่งร้อนหรือคาดหมายได้ตามกำหนดการตารางเรียน แต่ต้องแบบวิธีการสอนให้กลายเป็นวิถีชีวิตประจำวัน มีจุดเริ่มต้นการเรียนรู้จาก ครอบครัว โรงเรียน และสังคม ต้องกระตุ้นให้เด็กเกิดการไตร่ตรองและเกิดกระบวนการใฝ่รู้จากภายใน

อรรถพล ชี้ว่า หากพิจารณาตามที่กล่าวมา การเรียนรู้ค่านิยมที่ออกมาจากนโยบายรัฐบาลนี้ ยังเป็นเพียงวิธีการที่ผิวเผินกว่าที่ควรจะเป็น

“เช่นเรื่องของ ความพอเพียง ความซื่อสัตย์ เราก็รู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่สอนให้ท่องจำ แต่ต้องหากลวิธีที่ทำให้เด็กคิดตามหลักของเหตุและผล เป็นการสอนแบบอ้อมๆ ผ่านวิถีชีวิตที่แวดล้อมตัวนักเรียนและบทบาทของโรงเรียน วิธีการแบบแคมเปญ อีเวนต์ มันไม่สร้างความยั่งยืนในการเปลี่ยนแปลงภายในตัว ผู้เรียน ต้องหาวิธีเปลี่ยน Mindset หรือความเชื่อที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในการอยู่ร่วมกันในสังคม” อาจารย์ครุศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว

อรรถพล ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมาการรณรงค์เรื่องนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์ หากยังเป็นเพียงเครื่องมือของการเรียนรู้ในระดับโรงเรียน เป็นเพียงการรณรงค์ตามความต้องการตามอำนาจของรัฐบาลที่ไม่ว่าจะมีที่มาของอำนาจจากวิธีการใด และจะกลายเป็นเครื่องมือที่ไม่ได้ผลที่ยั่งยืน ตราบเท่าที่ค่านิยมนั้นๆ ยังไม่กลายเป็นเรื่องที่สังคมต้องตระหนัก

“ต้องยอมรับการปลูกฝังค่านิยมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่วางแคมเปญรณรงค์แล้วสำเร็จในไม่กี่เดือน ยิ่งพอเรื่องนี้มาจากรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากวิธีปกติ ถูกต้านจากผู้ที่ไม่เห็นด้วย ก็มีแรงเสียดทานที่มองว่าเป็นเรื่องการสั่งการ แม้เนื้อหาที่รณรงค์ เช่น เรื่องของความซื่อสัตย์ จะมีความหมายตรงกับที่ผ่านมาในอดีต ก็กลายเป็นเรื่องที่อาจจะมองว่าไม่ใช่เรื่องที่มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องทบทวนวิธีการที่ใช้อยู่ให้แยบยลกว่านี้”อรรถพล กล่าวทิ้งท้าย

ข่าวล่าสุด

3 ชาติผนึกกำลังทลาย 'KK Park - ชเวก๊กโก' รังใหญ่ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์"