posttoday

คืนขโมยหมู

27 ธันวาคม 2557

ผมบอกตัวเองในใจต่อไปว่า “ถ้าขโมยหมูสำเร็จ ผมจะนำไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าส่วนหนึ่ง อีกส่วนผมจะคืนให้เจ้าของหมู ผมจะเอาเงินไปสอดไว้ที่หน้าบ้านตอนกลางคืน”

ผมบอกตัวเองในใจต่อไปว่า “ถ้าขโมยหมูสำเร็จ ผมจะนำไปขายเอาเงินเข้ากระเป๋าส่วนหนึ่ง อีกส่วนผมจะคืนให้เจ้าของหมู ผมจะเอาเงินไปสอดไว้ที่หน้าบ้านตอนกลางคืน”

ดูซิ...ผมไม่ใช่ขโมยที่ไม่มีคุณธรรม เพราะอย่างไรเสียผมก็ยังเป็นห่วงและนึกถึงความรู้สึกของเจ้าของหมูที่ถูกผมขโมย ว่าจะต้องเสียดายมันมาก การคืนเงินครึ่งหนึ่งให้เขาคงช่วยทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แล้วผมเองก็รู้สึกดีขึ้นเช่นกันเพราะไม่รู้สึกผิดมาก

เมื่อค่ำคืนแห่งการขโมยมาถึง... คืนนั้น ผมจำได้ว่าตัวเองทาน้ำมันจนชุ่มไปทั้งตัว ก่อนจะย่องออกจากบ้าน พร้อมด้วยกระสอบใส่ขี้เถ้าและอาหารเหลือๆ สำหรับล่อหมู

การขโมยหมูสำเร็จได้อย่างง่ายดาย ง่ายเกินคาด ขณะที่คิดถึงตอนจะลงมือทำผมกลัวแทบตาย...กลัวหมูร้อง กลัวเจ้าของตื่นมาเห็น กลัวพ่อกับแม่รู้ กลัวไปหมดแต่ผมก็ทำสำเร็จในคืนนั้น!

เจ้าของบ้านไม่รู้ตัวสักนิด ไม่ได้ตื่นขึ้นมาเห็นโฉมหน้าของหัวขโมยหมูรุ่นจิ๋วอย่างผม แถมหมูที่ผมหมายตาเอาไว้ก็เดินเข้าไปกินเหยื่อในกระสอบอย่างง่ายดาย แม้กระทั่งตอนที่อุ้มหมูตัวย่อมๆ นั้นออกจากจุดที่ขโมย มันก็ไม่ร้องให้ผมต้องเสียเชิงขโมยแต่อย่างใด

ผมอุ้มหมูไปซ่อนและผูกมันไว้ในที่ที่ไม่มีใครรู้ใครเห็น จนช่วงสายผมจึงนำหมูไปขาย หมูตัวนั้นขายได้ราคาดีพอสมควร ทำให้ผมมีเงินไปซื้อหมูย่างและของกินเข้าบ้านได้จนอิ่มท้องไปหลายมื้อ

ผมนึกขอบคุณเจ้าหมูตัวนั้นมากๆ ที่ให้ประสบการณ์ชีวิตในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งทั้งตื่นเต้นลุ้นระทึกในแบบที่ลืมไม่ลง และที่ทำให้ผมไม่มีวันลืมก็คือ ผมได้รู้จักกับความเอร็ดอร่อย... ได้มีโอกาสสัมผัสรสชาติอาหารที่ไม่เคยลิ้มลอง และที่สำคัญผมได้รู้จักความอิ่ม หลังจากที่ชีวิตพบแต่ความหิวโหยมาตลอด

สิ่งที่ผมไม่ลืมทำตามที่ตั้งใจไว้คือ ผมแบ่งเงินที่ขายหมูได้ครึ่งหนึ่ง ไปสอดไว้ที่ประตูบ้าน คืนให้เจ้าของหมูที่ผมแอบขโมยไป การทำแบบนี้อาจจะล้างบาปที่ขโมยหมูไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ถือเป็นการไถ่โทษ และทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น

ยังมีอีกเรื่องหนึ่งสำหรับชีวิตในวัยเด็กของผม ด้วยความขัดสนแต่อยากมีอยากได้ทำให้เผลอไผลกระทำบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ควรทำ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีที่ยังฝังอยู่ในใจผมมาถึงปัจจุบัน

ครั้งนั้น...ผมต้องนุ่งกางเกงตัวใหญ่ หลวมโพรก ซึ่งเป็นมรดกตกทอดมาจากพี่ชายตัวโตของผม โดยต้องใช้เชือกฟางผูกเอวแทนเข็มขัดเพื่อไม่ให้มันหลุด เพราะอย่างนั้นกางเกงที่ผมใส่จึงดูน่าเกลียด ซึ่งผมไม่ชอบเลย ผมอิจฉาลูกคนที่มีฐานะดีกว่า พวกนั้นนุ่งกางเกงพอดีตัว แล้วก็ยังมีเข็มขัดสวยๆ ใส่ให้ภูมิฐานยิ่งขึ้นไปอีก

แต่สำหรับผม กางเกงก็เก่า แถมหลวมชนิดว่าถ้าไม่จับหรือมัดไว้ มันก็ต้องหลุดมาอยู่ที่ตาตุ่ม ดังนั้นสิ่งที่ผมอยากได้มากๆ ก็คือ เข็มขัดสวยๆ เพื่อนำมาคาดแทนเชือก ซึ่งการจะซื้อเข็มขัดมาใช้นั้น ฐานะอย่างผมไม่มีแม้สิทธิจะคิดเพราะมันเป็นไปไม่ได้ ผมไม่มีเงินจะทำอะไรอย่างที่ต้องการ ดังนั้นเมื่ออยากได้ ด้วยความคิดแบบเด็กๆ ทางเดียวที่จะได้เป็นเจ้าของเข็มขัดสวยๆ ก็คือ การหยิบเอาจากคนที่เผลอถอดวางไว้ที่บ่อน้ำอุ่น

“บ่อน้ำอุ่น” คือ สถานที่ที่คนในหมู่บ้านใช้อาศัยอาบน้ำชำระร่างกายกันเป็นประจำ เพราะอากาศในจีนมักจะหนาวเย็นเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการได้อาบน้ำอุ่นจึงเปรียบเหมือนของดีที่ได้มาฟรีๆ จากธรรมชาติ

ในย่านชนบทที่ผมอาศัยอยู่นั้น มีบ่อน้ำอุ่นที่คนทั่วไปได้อาศัยอาบน้ำ น้ำในบ่อมีคุณค่าทางแร่ธาตุอีกด้วย ผมเห็นคนมากมายจากหลายหมู่บ้านพากันเดินทางมาอาบน้ำอุ่นที่บ่อนั้นไม่ขาดสาย

บางคนเชื่อว่า น้ำอุ่นนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้ บ่อน้ำอุ่นจึงเป็นของดีประจำหมู่บ้าน ผมไม่ค่อยได้ไปอาบน้ำ แต่มักจะไปด้อมๆ มองๆ ที่บ่ออาบน้ำอุ่น เพราะขณะที่ผู้คนกำลังเพลินกับน้ำอุ่นอยู่นั้น พวกเขาจะไม่สนใจดูแลทรัพย์สินของตัวเองที่ถอดกองรวมเอาไว้กับเสื้อผ้า และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมมองเห็นเข็มขัด สุดยอดปรารถนาของผม

ผมอยากได้ แต่ตอนแรกก็ไม่กล้า แอบดูอยู่นานเหมือนกัน เฝ้ามองจนเกิดความกล้า เพราะผมเห็นว่า คนที่มาอาบน้ำที่บ่อมักจะใส่รองเท้าผิดหรือหยิบชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่คล้ายคลึงกันผิดๆ กลับบ้านไป ทำให้เกิดเหตุการณ์ใส่ของผิดฝาผิดตัว มีของหายกันอยู่บ่อยๆ

และนี่เป็นจุดที่ทำให้ผมเห็นว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกินที่ใครก็ตามเมื่อมาอาบน้ำที่บ่อนั้น มักจะมีปัญหาหยิบของสับเปลี่ยนกับคนอื่นๆ ผมถึงได้ตัดสินใจสวมรอยหยิบผิด

ผมคิดว่า...คนก็จะไม่สงสัยว่าผมเป็นขโมย หรือตั้งใจขโมย และหากเกิดจับได้ ผมก็จะบอกเขาว่า “ขอโทษ ผมหยิบผิด” และก็เป็นดังที่คิด เพราะผมสามารถจะหยิบเข็มขัดของใครคนหนึ่งที่มาอาบน้ำที่บ่อนั้นติดมือกลับบ้านได้ตามต้องการโดยไม่มีใครสงสัย หรือจับได้

ไม่ใช่แต่ผมคนเดียวที่ทำแบบนั้น ผมรู้ว่ามีคนอีกหลายคนที่ตั้งใจทำแบบเดียวกับผม บ่อน้ำอุ่นจึงเป็นสถานที่ที่คนทุกเพศทุกวัยมาหาความสุข ความสำราญ ในขณะที่อาจจะต้องแลกเปลี่ยนค่าน้ำอุ่นจากธรรมชาติ ด้วยการสูญเสียเข็มขัด หรือชิ้นส่วนเสื้อผ้าให้กับใครก็ไม่รู้ที่จ้องจะหยิบของจากคนอื่นๆ ด้วย

ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งผิด แต่สำหรับผมในตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องผิดเรื่องถูก คิดแค่ว่าจะหาเข็มขัดแทนเชือก มารัดเอวกางเกงที่หลวมโพรกเพรกไม่ให้หลุดลงมากองที่ตาตุ่ม เพราะนอกจากจะดูดีแล้ว ที่สำคัญมันสบายกว่าเชือกเยอะ

การทำผิดครั้งนั้นทำให้ผมไม่สบายใจเลย รู้แก่ใจดี รู้ว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งผิด รู้สึกละอายใจและไม่สบายใจ คงเป็นอย่างที่เขาพูดว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” คิดเรื่องนี้ขึ้นมาครั้งใดก็ทำให้รู้สึกรังเกียจตัวเอง จนตอนหลังผมสัญญากับตัวเองว่า “ต่อไปนี้ให้ลำบากยากจนยังไง เราจะไม่ขโมยของใคร!”

ถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นจะผ่านมานานแล้ว แต่ผมก็ยังไม่เคยลืมความผิดพลาดเมื่อครั้งยังเด็ก แม้ผมจะกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่ผมได้นำเอาความผิดมาเป็นอุทาหรณ์สอนลูก

ในเวลาต่อมา ผมบอกพวกเขาว่า “อย่าทำอย่างพ่อ!”

(อ่านต่อสัปดาห์หน้า)

ข่าวล่าสุด

"ธรรมนัส” เผย 25 ธ.ค.นี้ กล้าธรรมเปิดตัวสส.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์