posttoday

"บวรศักดิ์"ชี้โจทย์ใหญ่ปฏิรูปต้องลดเหลื่อมล้ำ

11 ธันวาคม 2557

"บวรศักดิ์"เผยโจทย์ใหญ่การปฏิรูปต้องลดความเหลื่อมล้ำ แนะประชาชนร่วมสร้างความปรองดอง

"บวรศักดิ์"เผยโจทย์ใหญ่การปฏิรูปต้องลดความเหลื่อมล้ำ แนะประชาชนร่วมสร้างความปรองดอง

เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. ณ การเสวนาเรื่อง "สานเสวนา สานใจประชา สู่การปฏิรูปประเทศ" ในการปาฐกถาเรื่อง"การปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง ตามแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญ" โดย นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานกรรมาธิการ(กมธ.)ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า ความขัดแย้งของประเทศไทยทวีความรุนแรงขึ้นนับตั้งแต่ ปี 48 จนถึง ปี 57  เกิดเหตุการณ์ยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อของประชาชนไทย การยึดอำนาจเป็นทางออกของปัญหาในวันนั้น เพราะไม่มีทางออกอื่น และผู้แก้ปัญหาไม่มีเครื่องมืออื่นที่สามารถแก้ไขได้ ขณะนี้ประเทศไทยใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มีการจัดตั้งสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และ กมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ โจทย์ใหญ่ของคณะทำงานทั้ง 2 ชุด คือ 1. จะทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อยได้อย่างไร 2. ความสงบเรียบร้อยจะต้องเกิดขึ้นพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า ด้วยกระบวนการปฏิรูป ซึ่ง คสช. ไม่ใช่ผู้กำหนดโจทย์นี้ แต่เป็นประชาชนไทยทั้งประเทศ ที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลขณะนั้น  กปปส. กระทั่งพระสงฆ์ เช่น พระพุทธอิสระ เป็นต้น  ซึ่งอยากเห็นประเทศมีความสงบสันติเหมือนอดีต

นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ใน ปี 58 ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หากประชาชนไทยไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้ง เท่ากับว่าประเทศไทยอยู่ในลำดับท้ายของอาเซียน ซึ่งไม่ใช่ความปรารถนาของสังคมไทยอย่างแน่นอน ฉะนั้นประชาชนไทยจะต้องร่วมกันสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้นประเทศจะติดหล่ม ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้

อย่างไรก็ตามมีวาระใหญ่ที่จะต้องเร่งดำเนินการ คือการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมได้อย่างไร เพราะรากฐานของปัญหามาจากประเด็นนี้ ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งระหว่างผู้ที่มั่งมีมหาศาล กับผู้ที่ไม่มี ถ้าให้ฝ่ายการเมืองแก้ไข จะไม่ได้รับการแก้ไข เพราะจะต้องเป็นการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โดยการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจและความมั่งคั่งใหม่ เพราะผู้ที่มีอำนาจทางการเมือง มักจะมีอำนาจเงิน แต่การแก้ไขโครงสร้างความเหลื่อมล้ำ คือการควักเอาเงินในกระเป๋าของผู้ที่มีมาก ไปช่วยคนที่ไม่มี หมายความว่า พรรคการเมืองย่อมไม่อยากทำ  สุดท้ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการประชานิยม ลดแลกแจกแถม โดยการนำทรัพยากรของชาติที่เป็นภาษี และงบประมาณในอนาคตมาใช้ ภายใต้ลักษณะผู้ให้และผู้รับ 

นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ประชานิยม จึงไม่ต่างจากบิดาของระบบอุปถัมภ์ เพราะมุ่งสร้างความเหนืออกว่าของผู้ให้และความด้อยกว่าของผู้รับ ผูกพันให้ผู้รับจะต้องเลือกผู้ให้กลับมาเป็นรัฐบาล ฉะนั้นเมื่อจะเปลี่ยนโครงสร้าง จึงต้องเลิกประชานิยม

"การปฏิรูปเหมือนกับคำสอนของพระพุทธองค์ ว่า ดอกบัว ซึ่งเป็นดอกไม้บริสุทธิ์ที่แทนความบริสุทธิ์ เกิดจากโคลนตมก็ได้ เช่นเดียวกับขณะนี้ การปฏิรูปเกิดจากกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยได้ฉันท์นั้น เรื่องปรองดองท้ายที่สุดจะต้องพูดกันในระดับประชาชน ถ้าไม่ยอมพูดกันดีๆ ก็ต้องบังคับมานั่งพูดกัน รัฐธรรมนูญ หากไม่ระบุแนวทางในรัฐธรรมนูญให้ชัดเจน ไม่ทำตามลำดับขั้น หรือนิรโทษกรรมโดยไม่มีการสร้างกระบวนการปรองดอง กระบวนการก็จะล้มเหลว ยกตัวอย่างการนิรโทษกรรม นโยบาย 66/23 ที่จะต้องผลักดันกว่า 10 ปี จึงจะประกาศนิรโทษกรรมใน ปี 33 ถ้าเขียนรัฐธรรมนูญไม่ดี นิรโทษกรรมเลยปัญหาก็ไม่จบ"นายบวรศักดิ์กล่าว

ข่าวล่าสุด

เลิกวนลูป! ส่อง 3 เป้าหมายยอดนิยมที่คนไทยตั้งไว้ทุกต้นปี เป็นจริงได้อย่างไร?