"ตึกร้างกลางกรุง"...ทุกย่างก้าว=ตาย
เบื้องหลังตึกร้างในกรุงเทพมหานคร สถานที่อันตรายใกล้ตัวที่คนส่วนใหญ่มองข้าม
เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...ทวีชัย ธวัชปกรณ์,พัฒนพงษ์ หิรัญอาจ
ข่าวการพบศพชาวต่างชาติบนชั้น 43 ของอาคารสาทร ยูนิค ทาวเวอร์ เขตบางรัก กทม. นอกจากจะสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่สังคมแล้ว ยังก่อให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า แล้วตึกร้างอื่นๆอีกนับร้อยนับพันที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งกรุงเทพมหานครล่ะ มีใครลอบเข้าไปทำอะไรอยู่ภายใน และมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงไร
ทัศนอุจาดลอยฟ้า
เวลานั่งรถไปตามท้องถนน ผ่านย่านธุรกิจการค้า แหล่งท่องเที่ยว จนถึงแถบชานเมืองของกรุงเทพและปริมณฑล ทุกคนคงเคยเห็นตึกสูงใหญ่สภาพเก่าแก่ทรุดโทรม น่าสะพรึงกลัว ประหนึ่งส่วนเกินของความศิวิไลซ์ที่ช่างรกหูรกตายิ่ง
คำถามอยู่ตรงที่ว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงถูกปล่อยทิ้งให้รกร้างไร้คนดูแล จนกลายเป็นทัศนอุจาดที่บดบังความงดงามของเมืองไปเสียสิ้น ซ้ำร้ายยังสุ่มเสี่ยงให้เกิดอันตรายต่อผู้สัญจรผ่านไปมาแถวนั้นอีกด้วย
ศ.ดร.เอกสิทธิ์ ลิ้มสุวรรณ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อุปนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และอนุกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ สภาวิศวกร เปิดเผยว่า ตึกสูงเก่าแก่ทรุดโทรมไร้ผู้อยู่อาศัยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ประสบปัญหาด้านการเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 แทบทั้งสิ้น
“เมื่อดูจากใบอนุญาตก่อสร้างอาคารของกทม. โดยเฉพาะอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ พบว่ามีตึกร้างและบ้านจัดสรรร้างอยู่ประมาณเกือบ 2,000 กว่าแห่ง ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่แตก ก่อนหน้านั้นอสังหาริมทรัพย์บูมมาก คนลงทุนซื้อเพื่อเก็งกำไร พอเจอภาวะเศรษฐกิจพัง การเงินช๊อต ทุกอย่างล้มครืน ก็เกิดความวุ่นวายในกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง สถาปนิกผู้ออกแบบ เจ้าของโครงการ รวมถึงเอกสิทธิ์ที่ดินที่มีการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน ไม่นับอาคารที่ผิดกฎหมายที่ก่อสร้างขึ้นโดยพลการ ปัญหามันเลยสบสนไปหมด สุดท้ายหาตัวผู้รับผิดชอบไม่ได้ ไม่มีใครเป็นเจ้าภาพ ทำให้ไม่สามารถปรับปรุง ทุบทิ้ง หรือดำเนินการต่อได้”
แม้คณะกรรมการควบคุมอาคาร กรมโยธาและผังเมือง จะพยายามลดจำนวนตึกร้างเหล่านี้ลงให้เหลือน้อยที่สุด ถึงขั้นมีการอภัยโทษเพื่อให้เจ้าของโครงการกลับมาดำเนินการให้เสร็จสิ้น แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
“เมื่อเวลาผ่านไป ภาวะเศรษฐกิจจะปรับตัวของมันเอง อย่างบางตึกบางพื้นที่ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ๆจะใช้วิธีส่งแมวมองเข้าไปสืบหาข้อมูลของโครงการ แล้วหาทางซื้อมาในราคาต่ำ จากนั้นจะว่าจ้างวิศวกรมาประเมินความมั่นคงแข็งแรงของอาคารว่าตึกไหนสภาพดีน่าจะปรับปรุง ตบแต่ง หรือพัฒนา แล้วขายต่อได้ราคา ที่ผ่านมามีตึกไม่น้อยกว่า 500-600 แห่งที่ประสบความสำเร็จในการรีโนเวทเป็นตึกใหม่ๆสวยๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเคยเป็นตึกเก่าที่ถูกทิ้งร้างมาก่อน”
อยู่ให้ห่างไว้ดีที่สุด
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ แม้ตึกร้างจะอบอวลไปด้วยฝุ่นละอองและกลิ่นเหม็นอับชื้น บรรยากาศวังเวงน่าขนลุก แต่ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็ยังใฝ่ฝันอยากจะขึ้นไปให้ได้สักครั้งในชีวิต
โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบเรื่องตื่นเต้นท้าทายมักเข้าไปสำรวจหาสิ่งเร้นลับยามค่ำคืน ช่างภาพผู้แสวงหาโลเกชั่นเจ๋งๆ ศิลปินแนวกราฟฟิตี้ที่แวะเวียนมาละเลงสีสันลงบนกำแพง ไม่เว้นแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
บางแห่งปล่อยอิสระไร้คนดูแล บางแห่งล้อมรั้วปิดตาย บางแห่งถึงขั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้ดูแลตึกในสนนราคาตั้งแต่ 100-1,000 บาท หารู้ไม่ว่าอาจต้องแลกมาด้วยชีวิต !
ศ.ดร.เอกสิทธิ์ บอกว่า ปัญหาตึกถล่มไม่น่ากลัวเท่าเป็นแหล่งมั่วสุมของบุคคลไม่พึงประสงค์ และอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึง
"อย่าลืมเป็นอันขาดว่าอาคารพวกนี้ส่วนใหญ่ยังสร้างไม่เสร็จ ฉะนั้นจึงไม่มีมาตรการควบคุมดูแลความปลอดภัยใดๆทั้งสิ้น ช่องลิฟท์เปิดอ้าซ่า บันได ระเบียงไม่มีราวกั้น ไม่มีป้ายเตือน ทุกย่างก้าวที่เดินอยู่บนนั้นมีโอกาสตายได้ตลอดเวลา อย่างคุณไปนั่งอยู่ตรงริมตึกชั้นสูงๆ เดินขึ้นลงบันไดมืดๆ แค่มีใครทำให้ตกใจ ก็อาจตกลงไปตายโดยที่ไม่ต้องมีคนผลักเลยด้วยซ้ำ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะปล่อยให้คนเข้าไปเพ่นพ่าน เจ้าของตึกควรกั้นพื้นที่อย่างจริงจัง ใครฝ่าฝืนต้องมีความผิดฐานบุกรุกด้วย"
เช่นเดียวกับ Zids ศิลปินกราฟฟิตี้แถวหน้าของเมืองไทย ซึ่งเคยเข้าไปบนตึกร้างทั่วเมืองกรุงมาแล้ว เล่าว่า ความรู้สึกขณะอยู่บนตึกร้างไม่ต่างอะไรกับถูกตัดขาดจากโลกภายนอก
"ตึกเหล่านี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพ เช่น อ่อนนุช บางรัก มีนบุรี เหตุผลที่เราเลือกตึกร้างก็เพราะมันง่าย ไม่มีใครประกาศตัวเป็นเจ้าของ ไม่มียามเฝ้า แต่ความเสี่ยงก็คือ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเข้าไปเจอกับอะไรบ้าง ที่ผ่านมา เจอสารพัดทั้งคนจรจัด กลุ่มเด็กนักเรียนเข้าไปมั่วสุม เจออุปกรณ์เสพยา สัตว์ร้าย บรรยากาศเงียบมากทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก มันไม่มีใครเลยนอกจากเรา เราต้องป้องกันตัวเอง ทั้งสถานที่ที่มันต่ออุบัติเหตุ ยิ่งสูงยิ่งอันตราย ถ้าไปก็ต้องไปเป็นกลุ่ม ห้ามไปคนเดียวเด็ดขาด เพราะถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นมาคนภายนอกไม่มีทางรู้ได้เลย"
เขตอันตรายห้ามเข้า
จากการสำรวจของทางสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร พบว่า ปัจจุบันมีตึกร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จในลักษณะเดียวกับอาคารสาธร ยูนิค ทาวเวอร์ ซึ่งมีใบอนุญาตการก่อสร้างตั้งแต่ 8 ชั้นขึ้นไปทว่าต้องหยุดสร้างจากหลายสาเหตุ อยู่ประมาณ 120 กว่าตึกทั่วกทม.
ภัทรวรุตม์ ทรรทรานนนท์ ผู้อำนวยการสำนักการโยธา กทม. เผยว่า ล่าสุดได้มีนโยบายดำเนินการแก้ไขความปลอดภัยของอาคารที่หยุดก่อสร้างหรือทิ้งร้าง ด้วยการแจ้งเจ้าของอาคารหรือผู้ครอบครองอาคารให้แก้ไข เช่น ให้ทำรั้วรอบโครงการ รวมทั้งจัดสายตรวจเทศกิจเข้าตรวจเฝ้าระวังภัย พร้อมทั้งขอความร่วมมือสน.ท้องที่จัดสายตรวจเข้าตรวจสอบและปราบปรามเหตุต่างๆ อันจะก่อให้เกิดอันตรายกับประชาชนที่ต้องสัญจรหรืออยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าว
"เงื่อนไขการกำหนดมาตรฐาน คือ ต้องมีการป้องกันวัสดุตกหล่น เครื่องมือก่อสร้าง การล้อมรั้วรอบโครงการ ต้องมีผู้ดูแล และมีป้ายหยุดก่อสร้าง ล่าสุดเราได้ประสานกับเจ้าของตึกต่างๆว่า ควรจะจ้างรปภ.มาดูแลอีกแรงหนึ่ง ควรที่จะมีแสงสว่างรอบตึก หมั่นตรวจสอบอาคารเป็นประจำเพื่อจะได้ไม่เกิดอันตราย ทางสำนักการโยธา กทม.มีมาตรการในดูแลรัษาความปลอดภัยตามกฎหมาย พ.ร.บ.ควบคุมอาคารอยู่แล้ว แต่จะดูได้เฉพาะเรื่องความมั่นคงแข็งแรงของอาคารเท่านั้น"
อาจเป็นความท้าทายเมื่อได้สัมผัสประสบการณ์น่าตื่นเต้นบนตึกร้าง แต่อย่าลืมว่าลองก้าวขาเข้าไปข้างหนึ่งนั่นหมายถึงความตายมารออยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว


