posttoday

แก่นธรรมในวรรณกรรมท้องถิ่น

16 พฤศจิกายน 2557

ในงาน “เทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ 2014” เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2557 ซึ่งเป็นการชุมนุมกลุ่มคนเล่นหุ่นเงา

 

แก่นธรรมในวรรณกรรมท้องถิ่น

ในงาน “เทศกาลหุ่นโลกกรุงเทพฯ 2014” เมื่อต้นเดือน พ.ย. 2557 ซึ่งเป็นการชุมนุมกลุ่มคนเล่นหุ่นเงา จากทั่วโลกนับร้อยคณะ หนึ่งในนั้นเห็นข่าวว่ามีหนังตะลุงอีสาน “คณะเพชรอีสาน หนังบักตื้อ” จากโรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ มาร่วมด้วย นักเล่นหนังเงารุ่นเยาว์กลุ่มนี้โดดเด่นด้วยวัยที่ทุกคนยังเป็นเด็กวัยรุ่นเรียนชั้นมัธยม เดือนก่อนหน้านั้นพวกเขาก็เคยมาเปิดการแสดงที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครคราวหนึ่งแล้ว

โรงเรียนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านดงบัง อ.นาดูน จ.มหาสารคาม มีวัดประจำชุมชนชื่อวัดโพธาราม ซึ่งมี “ฮูปแต้ม” หรือภาพเขียนบนผนังสิม (โบสถ์) ทั้งด้านนอกและด้านใน เล่าเรื่องราวพุทธประวัติ ชาดกพระเวสสันดร และวรรณกรรมท้องถิ่นอีสานเรื่องสินไซ

แล้วฮูปแต้มเรื่องสินไซนั้นก็กลายเป็นจุดบันดาลใจให้คณะเพชรอีสานนำมาแสดงเป็นเรื่องหลักของคณะ

เนื้อความโดยย่อของเรื่องสินไซ หรือสังข์ศิลป์ชัย เล่าถึงท้าวกุสราช เจ้าผู้ครองนครเป็งจาล มีมเหสีนามว่าจันทา และมีน้องสาวชื่อสุมณฑา ซึ่งถูกยักษ์กุมภัณฑ์ลักพาตัวไปขณะเที่ยวชมอุทยาน

ท้าวกุสราชออกบวช ติดตามหาตัวน้องสาวไปจนถึงเมืองจำปา ได้พบเจ็ดพี่น้องลูกสาวเศรษฐีก็เกิดความรักใคร่ ตัดสินใจลาสิกขาแล้วแต่งตั้งเสนาอำมาตย์ไปสู่ขอสาวทั้งเจ็ดมาเป็นมเหสี

ต่อมามเหสีทั้งแปดต่างมีครรภ์ นางจันทา มเหสีองค์แรก และนางลุน มเหสีองค์ที่ 8 เป็นคนรักษาศีล พระอินทร์จึงส่งเทพมาเกิดในท้องนางทั้งสอง โหรก็ทำนายว่าลูกในท้องของนางจันทาและนางลุนจะเป็นคนดี ขณะที่ลูกของมเหสีอีกหกองค์จะเป็นคนชั่ว

เมื่อคลอดออกมา ลูกนางจันทาเป็นคชสีห์ชื่อสีโห ส่วนนางลุนได้ลูกแฝด คนพี่เป็นหอยสังข์ ชื่อสังข์ทอง คนน้องมีดาบและธนูศรติดตัวมาด้วย ชื่อสินไซ

ด้วยความอิจฉาริษยาน้องสาวและมเหสีเอก มเหสีทั้งหกได้ทีจ้างโหรให้ใส่ร้ายว่าเด็กทั้งสามเป็นลางร้ายของบ้านเมือง ท้าวกุสราชเชื่อโหร จึงไล่นางทั้งสองพร้อมลูกน้อยออกจากเมือง สองแม่ลูกอ่อนระหกระเหินเดินป่าไปจนเจอปราสาทที่พระอินทร์สร้างไว้ให้อยู่

เวลาผ่านไป ท้าวกุสราชหวนคิดถึงนางสุมณฑา จึงให้โอรสของมเหสีทั้งหกออกไปตามหาอา หกพี่น้องเดินป่าไปจนเจอสินไซ ก็โกหกว่าพ่อบอกให้สินไซไปตามหาอา ทั้งหมดจึงพากันเดินทางไปด้วยกัน จนเดินทางถึงฝั่งแม่น้ำใหญ่ พี่น้องทั้งหกไม่กล้าข้ามไป สินไซจึงให้สีโหอยู่ดูแล ตนและสังข์ทองข้ามแม่น้ำเดินทางต่อไปจนช่วยอากับลูกสาวที่ชื่อสีดาจันทร์กลับมาได้ ทั้งหมดก็พากันเดินทางมาจนถึงฝั่งแม่น้ำที่พี่น้องทั้งหกรออยู่ พวกเขาเกรงสินไซจะได้รับความชอบจึงลวงไปผลักตกเหว แล้วบอกอาว่าสินไซตกน้ำตาย แต่นางสุมณฑาไม่เชื่อ จึงแขวนช้อง ปิ่นปักผม และสไบเสี่ยงทายเอาไว้

กลับถึงเมืองเป็งจาลโอรสทั้งหกก็ทูลเอาความดีความชอบ ส่วนนางสุมณฑาและนางสีดาจันทร์เอาแต่ร้องไห้

ต่อมามีพ่อค้าสำเภานำของทั้งสามอย่างมามอบให้ นางสุมณฑาจึงรู้ว่าสินไซยังไม่ตาย ความจริงเปิดเผย หกพี่น้องกับแม่ รวมทั้งโหรถูกจับขังคุก ท้าวกุสราชรับสั่งให้ตามหาลูกเมียที่ถูกขับไล่ให้กลับเข้าบ้านเมือง

สินไซรอดชีวิตจากการถูกผลักตกเหวเพราะพระอินทร์ช่วยไว้ ได้กลับมาครองนครเป็งจาลต่อจากพระบิดาด้วยความร่มเย็นสืบมา

เป็นเนื้อเรื่องที่ชาวถิ่นรู้กันดีอยู่แล้ว แต่เมื่อนำมาเล่นซ้ำโดยคณะหนังตะลุงอีสาน (หรือหนังบักตื้อ หรือหนังประโมทัย) ก็เรียกคนดูได้อย่างไม่โหรงเหรงเสมอ ด้วยลีลาการรำ การเต้น การแสดง และมุขตลกที่ถือเป็นเสน่ห์สำคัญที่สุดของหนังตะลุง

เนื้อเรื่องอันยืดยาวอาจถูกหยิบยกมาแสดงเพียงบางช่วงตอนในแต่ละครั้ง โดยเน้นฉากผาดโผน ผจญภัย โหดร้าย รื่นรัก ชิงชัง โศกเศร้าเคล้าน้ำตา พาคนดูให้สะทกสะเทือนใจไปตามบทบาทของการแสดง

แต่ลึกลงไปในเรื่องราว กล่าวกันว่าทุกบทตอนของวรรณกรรมเรื่องสินไซ ล้วนแฝงไว้ด้วยแก่นธรรม ตามด่านทั้ง 9 ที่สินไซตัวละครเอก ต้องฝ่าข้ามไปตามลำดับ

ด่านแรก งูซวง หรืองูใหญ่ เปรียบได้กับกาลเวลา ซึ่งมีแต่จะกลืนกินเรา หากมัวลุ่มหลงอยู่กับวัย ลาภ ยศ โดยไม่มุ่งที่สารัตถะที่แท้จริงของชีวิต

ด่านรุณยักษ์ หรือยักษ์กันดาร เปรียบดังงานที่ยากลำบาก ซึ่งดูยากยิ่งเมื่อเริ่มลงมือทำ ผู้ไม่มีความอดทนก็พ่ายแพ้แต่แรก ความยากลำบากจึงเหมือนด่านคัดกรองผู้ที่จะไปถึงความสำเร็จ

ด่านช้าง เป็นด่านที่มีช้างนับแสนเชือกคอยขวางทางสินไซ สะท้อนถึงปัญหามากมายที่คอยกระทบกระแทกใจให้เราเอาชนะให้ได้ ซึ่งสุดท้ายสินไซก็ได้ช้างนั่นแหละเป็นพาหนะไปสู่ด่านต่อไป

ด่านยักษ์ 4 ตน เปรียบดังกิเลสกรรมทั้ง 4 ได้แก่ การคร่าชีวิต การลักขโมย การประพฤติผิดในกาม และการกล่าวเท็จ ซึ่งหากไม่ระวังก็จะคอยฉุดดึงไม่ให้เราไปถึงความสำเร็จ

ด่านยักขินี ผู้มากด้วยกามราคะ เมื่อเห็นสินไซก็เกิดความกำหนัดอย่างรุนแรง แปลงกายเป็นหญิงงามมาหลอกล่อ แต่สินไซก็ตัดกามารมณ์ออกไปจากใจได้จึงเป็นผู้ชนะนางยักขินีในที่สุด เป็นอุทาหรณ์ว่าอย่าให้กามารมณ์ทำให้หมดโอกาสที่จะไปถึงจุดหมาย

ด่านนารีผล ต้นไม้ที่พระอินทร์ปลูกไว้ให้ผู้พอใจในชีวิตแบบโลกีย์ ทำให้สินไซต้องต่อสู้กับหมู่วิทยาธร ผู้มีความอยาก ความยึดมั่นในสิ่งที่เคยได้เสพ ชัยชนะของสินไซต่อหมู่วิทยาธรเป็นอุทาหรณ์ถึงการเอาชนะสิ่งภายนอกที่คอยส่งเสริมให้เราลุ่มหลงในกามกิเลส

ด่านยักษ์อัสสมุขี ซึ่งในท้ายที่สุดถูกสินไซฆ่าตาย คล้ายว่ายิ่งใกล้จุดหมายปัญหาและความยุ่งยากก็ยิ่งทวีคูณ

ด่านเทพกินรี สินไซได้นางเกียงคำเป็นเมีย และได้เพลิดเพลินกับนางกินรีถึง 7 วัน หลังตรากตรำกับหนทางมาอย่างหนักหน่วง เปรียบได้กับใจที่ผ่อนคลายเมื่อเริ่มเห็นจุดหมายอยู่อีกไม่ไกล

สุดท้ายด่านที่ 9 ด่านยักษ์กุมภัณฑ์ ปลายทางของการเดินทางผจญภัยเพื่อนำอากลับบ้านเมือง มีการต่อสู้กันและสินไซฆ่ายักษ์เอาตัวอากลับมาได้ เปรียบเหมือนได้กำจัดภัยมืดอันยิ่งใหญ่ในใจที่เราก่อขึ้นเอง

เส้นทางผจญภัยของสินไซก็เหมือนทางชีวิตของคนเรา ที่ย่อมต้องพบเจอปัญหาและความยุ่งยากมากมาย ผู้จะไปถึงความสำเร็จต้องมีสติเท่าทันสิ่งที่มากระทบ แล้วขจัดออกไปด้วยตนเอง เพราะปัญหาใหญ่หลวงที่มักกัดกินใจเรา ส่วนใหญ่แล้วเราเป็นคนก่อขึ้นเองทั้งสิ้น

นี่เป็นข้อเตือนใจที่ต้องบอกต้องย้ำต่อกันซ้ำๆ

จึงอาจเป็นกุศโลบายของปราชญ์ศิลปินแต่ครั้งโบราณนานมาก็เป็นได้ ที่เอาเรื่องสินไซมาเขียนใส่ไว้บนผนังโบสถ์ กระทั่งกลายมาเป็นเรื่องเล่าผ่านหนังตะลุง

ให้ผู้คนได้ดูได้ฟังซ้ำๆ ก็พอหวังได้ว่าคงมีใครได้ไปถึงปลายทางอย่างสินไซบ้าง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68