จริยะรัฐศาสตร์1 : คุณธรรมนำการเมือง
จริยะรัฐศาสตร์คือคุณธรรมนำการเมือง
โดย...ทวี สุรฤทธิกุล
จริยะรัฐศาสตร์คือคุณธรรมนำการเมือง
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่าผู้เขียนไม่ใช่ “ผู้วิเศษ” ที่สามารถเนรมิตให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับการเมืองไทยได้ในทุกๆ เรื่อง แต่เพราะความ “ปรารถนาดี” ที่มีต่อบ้านเมือง เหมือนกันกับผู้ที่รักชาติบ้านเมืองทุกๆ ท่าน จึงอยากจะแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยกันสร้างอนาคตแก่บ้านเมืองของเรา
ความเห็นที่จะแสดงต่อไปนี้อาจจะถูกบ้างผิดบ้าง ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ก็เป็นความเห็นที่สุจริตใจ ส่วนหนึ่งก็เป็นหลักวิชาที่ผู้เขียนสอนอยู่ในทางรัฐศาสตร์ อีกส่วนหนึ่งก็จากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญที่ผู้เขียนได้คลุกคลี แล้ว “ขอยืม” ความคิดเหล่านั้นมาใช้ และส่วนสุดท้ายก็คือความคิดความฝัน “ส่วนตัว” จากประสบการณ์ร่วมกับการคิดวิเคราะห์ ด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองดังกล่าว
สภาปฏิรูปแห่งชาติและคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็คงจะทำหน้าที่กันไป ตามโรดแม็ปที่ คสช.กำหนดไว้ แต่กระนั้นก็มีกลุ่มบุคคลและองค์กรต่างๆ เช่น สถาบันปฏิรูปประเทศที่นำโดยท่านอาจารย์สังศิต พิริยะรังสรรค์ สภาพัฒนาการเมือง นปช. และ กปปส. รวมทั้งอิสระชน อย่างนักคิด นักเขียน ศิลปิน และนักวิชาการ อย่างผู้เขียนนี้ด้วยคนหนึ่ง ก็คิดที่จะทำงานปฏิรูปประเทศ “คู่ขนาน” ร่วมไปกับ คสช. ที่อาจจะเสริมประโยชน์ซึ่งกันและกันไม่มากก็น้อย รวมทั้งไว้เป็นทางเลือกหาก คสช. “ล้มเหลว”
นักวิชาการตะวันตกกล่าวว่าวิชารัฐศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อราว 2500 ปี จากนักปรัชญากรีกที่ชื่อโสกราตีส เพราะมีบทสนทนาที่ศิษยานุศิษย์รวบรวมไว้และบันทึกเป็นหลักฐาน เกี่ยวกับ “ความปรารถนาดี” ของโสกราตีส ที่มีต่อ “ประชาคม”หรือกลุ่มคนที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ภายในพื้นที่หนึ่ง ด้วยระบบการปกครองอันเดียวกัน ซึ่งก็คือนครรัฐต่างๆของกรีกยุคโบราณ
เนื้อหาส่วนใหญ่ในบทสนทนาเหล่านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับ “คุณธรรม” ของผู้ปกครอง คุณธรรมนี้ฝรั่งใช้คำว่า Virtue ที่ราชบัณฑิตท่านให้ความหมายว่า “ความดีที่ประพฤติจนเป็นนิสัย”(ในพจนานุกรมแปลไว้สั้นๆ ว่า “สภาพคุณงามความดี”) แต่ในตำราปรัชญาจะหมายถึง “ความดีที่สังคมยอมรับและปฏิบัติร่วมกัน”
ดังนั้นโสกราตีสซึ่งมีชื่อเสียงว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมือง” จึงถกเถียงกับชนชั้นนำในยุคนั้น รวมถึงศิษยานุศิษย์ (รวมทั้งบุคคลที่ไม่มีตัวตน หรือสมมุติชื่อขึ้นบ้าง เป็นเรื่องแต่งหรือบทละครบ้าง) เพื่อหาข้อสรุปว่า ผู้ปกครองควรมีคุณธรรมอะไรบ้าง ที่จะทำให้คนทั้งหลาย “พอใจ” โดยมีเป้าหมายส่วนหนึ่งเพื่อความมั่นคงในฐานะตำแหน่งของผู้ปกครองเอง และเป้าหมายอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญกว่า คือการทำให้ให้ประชาคมมีความเจริญรุ่งเรือง
นักปรัชญาชาวกรีกอีก 2 ท่านที่มีชื่อเสียงพอๆ กับโสกราตีส คือเพลโตและอริสโตเติล ที่มีชีวิตอยู่ต่อเนื่องกันมา (นักประวัติศาสตร์จำนวนหนึ่งเชื่อว่าเพลโตเป็นศิษย์ของโสกราตีส และอริสโตเติลเป็นศิษย์ของเพลโต แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าเป็นศิษย์แบบไหน อย่างไร อาจจะด้วยความคิดของทั้ง ๓ ท่านนี้มีความเกี่ยวเนื่องกัน) ก็ใช้ Dialogue ที่อาจจะแปลให้ขลังๆ ในภาษาไทยว่า “สนทนาธรรม” เพื่อ “ค้นหา” คุณธรรมของผู้ปกครองด้วยเช่นกัน แต่สำหรับ 2 ท่านหลัง โดยเฉพาะอริสโตเติลผู้เป็น “พระอาจารย์” ของอเล็กซานเดอร์มหาราช แม้จะเน้นเนื้อหาปรัชญาเป็นหลัก แต่ก็มีการวาง “แนวปฏิบัติ” ให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วย
นักวิชาการนั้นรับใช้การเมืองกันมานานแล้ว
ผู้เขียนจะไม่ออกนอกเรื่องให้มากเรื่อง (แต่ก็อดไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็อยากให้ผู้อ่านได้มีความรู้ความเข้าใจมากๆ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็น “อหังการ” ทางวิชาการที่อยากอวดรู้ของผู้เขียนเอง ถ้าจะมีความรำคาญบ้างก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้) แต่ประเด็นของผู้เขียนก็คือ กำเนิดของวิชารัฐศาสตร์หรือ “วิชาการเมือง” นี้ ก็เกิดจาก “ความปรารถนาดี” ต่อชาติบ้านเมืองเท่านั้น
“ปราชญ์” มาจากภาษาอังกฤษในคำว่า Philosopher แปลว่า “ผู้รักในการแสวงหาความรู้” โดยที่ “ความรู้” ในความหมายทางวิชาการก็คือ “ความจริง” อย่างที่พระบาลีหรือศาสนาพุทธเรียกว่า “สัจจะ” ดังนั้นสิ่งที่ปราชญ์ทางด้านรัฐศาสตร์ทั้ง 3 ท่านพยายามทำก็คือ การแสวงหาความจริงทางการเมืองการปกครอง และทั้ง 3 ท่านก็ค้นพบว่า “คุณธรรม” คือความจริงสิ่งนั้น
ปราชญ์ชาวกรีกชี้ให้เห็นว่า รัฐก็คือที่ที่คนๆ หลายๆ คนมาอยู่ร่วมกัน ดังนั้นรัฐจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่คน ทั้งคนที่เป็นผู้ปกครอง และคนที่เป็นผู้ใต้ปกครอง
สิ่งที่จะทำให้คนเหล่านี้เป็นคนดีก็คือ “หน้าที่” ผู้ปกครองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ได้แก่ การทำให้บ้านเมืองมีความปลอดภัย การทำมาหากินของผู้คนสะดวกสบาย อยู่ดีกินดี และทำให้ผู้ใต้ปกครองมีความพอใจ อย่างที่เรียกว่า “ความรับผิดชอบ” ในขณะที่ผู้ใต้ปกครองนอกจากจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองตามที่ผู้ปกครองจะกำหนดแล้ว ผู้ใต้ปกครองนั้นก็ต้องสนับสนุนและสร้างความมั่นคงเข้มแข็งให้กับผู้ปกครองด้วย อย่างที่เรียกว่า “ความจงรักภักดี”
นักรัฐศาสตร์บางท่านเรียก “ข้อปฏิบัติ” ระหว่างกันของคนเหล่านี้ว่า “ศีลธรรมทางการเมือง” ทั้งนี้ได้มีการ “จัดกลุ่ม” ศีลธรรมทางการเมืองดังกล่าวออกเป็น 2 ส่วน ในส่วนของผู้ปกครองก็คือ “ความรู้ ความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ และความยุติธรรม” ส่วนของผู้ใต้ปกครองก็คือ “ความร่วมมือ ความยินยอม การสรรเสริญ และความภักดี”
บางทีปราชญ์เหล่านี้อาจจะเห็น “จุดอ่อน” ของมนุษย์ ในความเห็นแก่ตัวและการแก่งแย่งเอาเปรียบกัน ท่านจึงพยายามนำเสนอแต่ในด้านดีๆ ที่ต้องการจะให้มาล้มล้างพฤติกรรมในด้านร้ายๆ ของมนุษย์ ด้วยหวังว่าความดีจะชนะความชั่ว หรือ “ธรรมะต้องชนะอธรรม”
บางทีนักปราชญ์เหล่านี้อาจจะมองโลกในแง่ดีจนเกินไป แต่ก็อย่างที่ตั้งเป็น “กรอบคิด” สำหรับนักรัฐศาสตร์ นั่นก็คือเราต้องเริ่มจาก “ความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง” เป็นสำคัญ
ความปรารถนาดีของปราชญ์เหล่านี้ก็เหมือนกับ “ความคิดดีๆ” ของคนที่ปรารถนาดีต่อบ้านเมืองในทุกยุคทุกสมัย เพราะคิดความดีๆ เหล่านั้นมักจะถูกกล่าวหาว่า “เพ้อฝัน” หรือเป็นอุดมคติมากเกินไป ผู้ปกครองท่านก็ยอมรับว่าดี แต่ทำยาก
จึงมีประเด็นให้พวกเราที่ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองว่า แล้วจะคิดดีเพื่อชาติบ้านเมืองไปทำไม คิดให้เขาด่า หรือไปขัดคอไปเป็นศัตรูให้เขาเกลียดทำไม
ที่เราคิด เราขัดคอนี่แหละ บ้านเมืองจึงเจริญ


