posttoday

ต้องมืออาชีพถึงอยู่ได้

26 ตุลาคม 2557

สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นลูกหม้อตัวจริงในสำนักข่าวกรองแห่งชาติ

สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นลูกหม้อตัวจริงในสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เริ่มรับราชการมาตั้งแต่ปี 2519 ผ่านงานมามากมายทั้งงานข่าวกรองในประเทศและต่างประเทศ จนผลักดันตัวเองให้มีความเจริญก้าวหน้าทางการงานในตำแหน่ง ผู้อำนวยการข่าวกรองฯ โดยประสบการณ์การทำงานที่ผ่านการทำงานทั้งด้านงานการปฏิบัติหรือวิเคราะห์ รวมถึงออกไปประจำการต่อต้านงานข่าวกรองในต่างประเทศ

“ผมผ่านงานมาเยอะ และมีเส้นทางการเจริญเติบโตทางการงานเหมือนคนปกติทั่วไปที่รับราชการในองค์กรใดองค์กรหนึ่งมาโดยตลอด ไม่เคยได้ออกไปอยู่ที่อื่นเลย และที่ผ่านมาผมมีประสบการณ์การทำงานและผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานสำคัญๆ มากมาย โดยเฉพาะการประจำการงานข่าวกรองในต่างประเทศ เช่น กัมพูชา 3 ปี ประเทศออสเตรเลีย 3 ปี และยังเคยอยู่ในพื้นที่ทำงานข่าวกรองในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้อีก 3 ปี หลังจากนั้นจึงได้กลับมาทำงานในสำนักงานใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร จนก้าวขึ้นมาเป็นระดับรองผู้อำนวยการเป็นระยะเวลา 5 ปี ก่อนจะขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการสำนักในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์”

เขาเล่าว่า ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง 2 ขั้ว ตั้งแต่รัฐบาลอภิสิทธิ์จนมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยืนยันว่าองค์กรข่าวกรองไม่ทำงานรับใช้หรือเอียงข้างใดข้างหนึ่งเด็ดขาด แม้จะเข้ามาอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้โอกาสกำกับดูแลสำนักข่าวกรองแห่งชาติอีกครั้ง ดังนั้นไม่ว่าจะทำงานกับรัฐบาลไหนย่อมไม่แตกต่างกัน

“ผมมีแนวทางการทำงานที่ชัดเจน ไม่ว่ารัฐบาลชุดใดหรือนายกรัฐมนตรีคนใดย่อมเหมือนกัน เพราะในการทำงานหรืออุดมการณ์ ทางสำนักข่าวกรองแห่งชาติมีหลักที่แน่น เพราะถูกปลูกฝังให้ต้องทำงานอย่างมืออาชีพ คำว่ามืออาชีพ คือ การทำงานตามความรู้ความสามารถ ทำงานตามประสบการณ์ที่มีอยู่และต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมโดยไม่มีอคติเอนเอียง ดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลใดเข้ามาเราต้องทำงานร่วมกันได้ นี่คือการทำงานตามวิชาชีพ”

แม้จะยอมรับว่าทุกรัฐบาลโดยเฉพาะตำแหน่งหน่วยงานฝ่ายความมั่นคง โดยเฉพาะสำนักข่าวกรองฯ ที่ทำงานในทางลับ ผู้นำรัฐบาลย่อมต้องการบุคคลที่ไว้วางใจเข้ามาดำรงตำแหน่ง โดยเฉพาะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถอยู่รอดได้ไม่โดนเด้ง แต่กลับสามารถอยู่ยาวในตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการได้

“ผมคิดว่ารัฐบาลทุกยุคใช้งานผมอย่างเต็มที่และเต็มศักยภาพ เมื่อใดก็ตามที่ทางรัฐบาลมีปัญหาสิ่งใด ทางรัฐบาลจะสอบถามที่ผมมาโดยตลอด และสิ่งสำคัญ หลักการในการนำเสนอข้อมูลแก่รัฐบาลของผม คือ นำเสนอข้อเท็จจริงต้องไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย แม้จะอยู่ในยุคที่การเมืองแตกแยกก็ตาม ผมระลึกอยู่เสมอในตำแหน่งผู้อำนวยการข่าวกรองฯ มีหน้าที่นำเสนอข่าวกรองในสิ่งที่จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอด นั่นคือสิ่งที่ทำและรายงานให้ทางรัฐบาลทุกยุคได้ทราบ

“ผมไม่ได้เอาใจรัฐบาล จะว่าไปตามข้อเท็จจริง อะไรที่ออกจากปากจากผู้อำนวยการข่าวกรองฯ คือ ข้อเท็จจริงและตรวจสอบแล้วเท่านั้น เพราะผู้อำนวยการข่าวกรองฯ ไม่สามารถจะบอกเรื่องที่มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงได้ มีคำกล่าวของนักปราชญ์งานข่าวกรองกล่าวไว้ว่า หน้าที่ของหน่วยข่าวกรอง คือ รายงานสิ่งที่ (รัฐบาล) จำเป็นต้องรู้...ไม่ใช่รายงานสิ่งที่ (รัฐบาล) อยากรู้ คนที่ทำงานข่าวกรองถูกสั่งสอนให้เชื่อในสิ่งนี้ ยิ่งมีความขัดแย้งทางการเมือง การทำงานข่าวกรองก็ไม่ลำบาก ตราบใดที่ยังทำงานตามวิชาชีพและปรัชญาข่าวกรอง”

ยิ่งโดยธรรมชาติงานข่าวกรอง รมต.สุวพันธุ์ เล่าว่า ต้องดำเนินงานแบบลับๆ ด้วยการใช้คนและเทคโนโลยีสืบค้นข้อมูลและวิเคราะห์งานการข่าวต้องเป็นเลิศ ในการประเมิน ควบคุม หรือล้วงลับข้อมูลที่กำลังจะเข้ามาคุกคามความปลอดภัยด้านความมั่นคงแห่งรัฐทางองค์กรก็ต้องดำเนินงานใดๆ โดยยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้งเสมอ และไม่เคยใช้งานข่าวกรองเพื่อประโยชน์ทางการเมืองด้วย

“ผมขอย้ำว่าการทำงานขององค์กรข่าวกรอง คือ การให้ข่าวกรองต่อรัฐบาล ระบบข่าวกรองต้องมีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลและดำเนินกรรมวิธีกระจายข่าวกรองไปยังผู้ใช้ นี่คืองานข่าวกรอง ได้ข่าวกรองใดมาก็กระจายไปยังผู้ใช้ โดยผู้ใช้สูงสุดคือรัฐบาล ส่วนจะขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลได้รับข่าวกรองแล้วจะไปดำเนินการสิ่งใด อันนั้นสำนักข่าวกรองฯ ไม่ทราบได้ว่าส่วนรัฐบาลจะใช้ข่าวไปในทางใด หรือจะเรียกใช้หรือให้ความสำคัญกับงานข่าวกรองของหน่วยงานหรือองค์กรใดเป็นหลัก เช่น งานข่าวกรองตำรวจหรือทหาร สิ่งเหล่านั้นทางสำนักข่าวกรองฯ ไม่ทราบได้ เพราะเป็นสิทธิของผู้ใช้ข่าวหรือรัฐบาล เพราะภารกิจของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ มีหน้าที่รายงานให้รัฐบาลทราบเท่านั้นว่าข้อเท็จจริงทุกๆ เรื่องเป็นอย่างไร”

แม้ในวันนี้ สุวพันธุ์ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีที่กำกับดูแลงานความมั่นคงภาคพลเรือนด้านข่าวกรอง ถือเป็นผู้แต่งตั้งและบังคับบัญชา ฉัตรพงศ์ ฉัตราคม ผู้อำนวยการข่าวกรองฯ คนใหม่ ที่การันตีว่าสำนักข่าวกรองฯ ยังคงสานต่ออุดมการณ์เดิม คือ รายงานข้อเท็จจริง และยืนยันว่าบุคลากรทุกคนในองค์กรได้เรียนรู้และซึมซับปรัชญาเหล่านี้อย่างดีและเข้าใจ

เพราะฉะนั้นการกำกับและนโยบายสำนักข่าวกรองแห่งชาติจากนี้ไป คือ หนึ่ง ต้องสนับสนุนรัฐบาลในการที่จะทำให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการเดินหน้าในการปฏิรูปประเทศได้ พร้อมกับมุ่งสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

นี่คือภารกิจของสำนักข่าวกรองฯ ผ่านการสืบค้นหาข้อมูลประเมินและวิเคราะห์สถานการณ์ทุกอย่างเพื่อรายงานต่อรัฐบาล

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา