posttoday

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 'ป้อมทะลุเป้า'

12 ตุลาคม 2557

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือที่เรียกว่า บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือที่เรียกว่า บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รองหัวหน้า คสช.ในปัจจุบัน เกิดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2488 เป็นบุตรชายคนโตของ พล.ต.ประเสริฐ และนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชายร่วมบิดามารดา 4 คน คือ

1.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ

2.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ

3.พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ

4.พันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ (ถึงแก่กรรม)

จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล มีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมปลายคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ธงชัย ภิงคารวัฒน์ (พี่ชายของภรรยา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) พล.อ.สุรสิทธิ์ มัยลาภ สมยศ วินิจฉัยกุล และ พล.อ.วรเดช ภูมิจิตร ฯลฯ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 'ป้อมทะลุเป้า'

 

หลังจากจบการศึกษาที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลก็ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน และ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย มีรหัส 7647

พล.อ.ประวิตร เริ่มรับราชการเมื่อปี 2512 เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3 ต่อมาในปี 2519 เป็นนายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ปี 2524 เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ปี 2532 เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ และปี 2539 เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์

ต่อมาในปี 2540 ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 ปี 2541 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ปี 2543 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก ปีต่อมาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารบก ตำแหน่งละหนึ่งปีตามลำดับ

และในปี 2554 ได้รับตำแหน่งเป็นคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีประเทศกัมพูชาฟ้องร้องประเทศไทย

พล.อ.ประวิตร ถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21รอ.) หรือที่เรียกกันว่า “ทหารเสือราชินี” ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพราะต่างก็ล้วนแต่เป็นทหารเสือราชินีสายบูรพาพยัคฆ์ด้วยกันทั้งสิ้น

แม้จะมีอาชีพรับราชการทหารมาโดยตลอดชีวิต และในบางช่วงบางตอนจะต้องไปใช้ชีวิตในสนามรบ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาแผ่นดินและความมั่นคงของชาติในต่างจังหวัดหรือบริเวณชายแดนของประเทศ มีหน้าที่ความรับผิดชอบทางราชการมากมาย แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เด็กในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลยังคงคบค้าสมาคมไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เคยสนิทสนมรักใคร่กันอย่างไรในวัยเด็ก เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งรักใคร่เกื้อกูลกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และปัฐวาท ที่คอยเอาใจใส่ในความเป็นไปและความเจริญก้าวหน้าในราชการทหารของเพื่อนด้วยความชื่นชมยินดี และนับถือในการครองตัวของ พล.อ.ประวิตร ที่สามารถดำรงอยู่ในตำแหน่งราชการที่สำคัญ และสามารถทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างมากมาย ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีตลอดมา

เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร เป็นลูกชายคนโตที่เป็นความหวังของครอบครัว จึงเป็นที่รักและห่วงใยของแม่มากที่สุด การครองตัวเป็นโสดไม่มีครอบครัวให้เป็นภาระทำให้มีโอกาสและเวลาทุ่มเทให้กับงานราชการได้มาก ความเจริญก้าวหน้าทางราชการที่ผ่านมา และการที่ พล.อ.ประวิตร ได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างต่อเนื่อง ได้นำความปลื้มปีติอย่างเหลือล้นมาสู่แม่ผู้รักลูกอย่างยิ่ง และการที่ พล.อ.ประวิตร ตัดสินใจไม่แต่งงานก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรัก ชีวิตในวัยหนุ่มของนายทหารที่หวังจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตย่อมจะมีความรักและความฝันมากมาย เคยผ่านความรักมากับหญิงสาวที่เคยพึงใจก็มิใช่น้อย แต่การตัดสินใจในเรื่องชีวิตคู่ต้องสะดุดลง เพราะวันหนึ่งเมื่อน้องชายคนที่ 2 จะแต่งงาน พล.อ.ประวิตร ได้ยินพ่อแม่คุยกันว่า เมื่อลูกชายตัดสินใจจะแต่งงานก็คงจะต้องใช้เงินในการสู่ขอและตบแต่งพอสมควร ฉะนั้นเพื่อให้การแต่งงานของลูกลุล่วงไปด้วยดี พ่อกับแม่จึงต้องตัดสินใจขายที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการแต่งงานของลูกชาย แล้วพ่อแม่มีลูกชายตั้ง 5 คน จะหาที่ดินที่ไหนมาขายให้ลูกแต่งงานได้ครบทั้ง 5 คน นับตั้งแต่นั้นมา พล.อ.ประวิตร จึงตัดสินใจว่าจะไม่แต่งงานให้พ่อแม่เป็นภาระ ทิ้งความหวังและความฝันในชีวิตครอบครัวไปเสียสิ้น คิดแต่จะทำงานหนักเพื่อความเจริญก้าวหน้าในราชการทหาร ด้วยความซื่อตรงและจงรักภักดีเท่านั้น

มิตรภาพระหว่าง พล.อ.ประวิตร และเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นมิตรภาพที่งดงามซึ่งต่างฝ่ายต่างก็หยิบยื่นแต่สิ่งดีงามให้ซึ่งกันและกัน หลายคนรู้ว่าเพื่อนนายทหารที่รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะมีตำแหน่งทางราชการสำคัญใหญ่โตเพียงไรก็ไม่ได้มีเงินมากมายมหาศาลที่จะจับจ่ายใช้สอยได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นเพื่อนคนที่มีมาก ทำธุรกิจได้มาก มีฐานะการเงินที่มั่นคงด้วยพื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวก็ได้จัดเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้เพื่อนใช้แก้ขัดอยู่เสมอ ส่วนเพื่อนที่มีความสามารถทำธุรกิจการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็คอยช่วยเหลือนำเงินเก็บของเพื่อนไปช่วยลงทุนในธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์จนเงินที่มีอยู่งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชีวิตราชการทหารของ พล.อ.ประวิตร ดำรงอยู่อย่างสบายได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และสามารถซื้อที่ดินสร้างบ้านด้วยตนเอง และตั้งชื่อบ้านว่า ปิยะมิตร เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงความดีงามของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนที่เอาใจใส่ดูแลกันตลอดมา

ด้วยความเป็นนายทหารที่มีบุคลิกโผงผางตรงไปตรงมา และถ้าหากดูกันแต่ภายนอกบางครั้งก็จะเป็นคนเอะอะโวยวายน่าเกรงขาม แต่โดยเนื้อแท้แล้ว พล.อ.ประวิตร เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นนายทหารที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ความรัก ให้ความเคารพนับถือ เป็นผู้ใหญ่ที่มีความยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มองการณ์ไกล ให้ความรักความเอาใจใส่ในหน่วยทหารทุกหมู่เหล่าด้วยความเสมอภาค พร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและกองทัพอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้จะมีการกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาทหารบกมาด้วยบารมีของ พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของทักษิณ ชินวัตร ภายหลังที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประวิตร ก็ได้พิสูจน์ตนเองว่าไม่ใช่นายทหารที่นักการเมืองจะสั่งการให้ทำอะไรตามอำเภอใจได้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเองแล้ว ยังมุ่งมั่นพัฒนากองทัพบกให้มีความแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถนำพากองทัพให้มีความแน่วแน่ในการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบของกลุ่ม นปช.ที่ก่อความวุ่นวายเผาบ้านเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จน อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นแก้ปัญหา พล.อ.ประวิตร ก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น และมีส่วนสำคัญในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่สงบนั้นให้หมดสิ้นลง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยเขมร เพราะความบาดหมางของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย พล.อ.ประวิตร ก็ได้ใช้นโยบายความสัมพันธ์อันดีทางการทหารและกองทัพเปิดการเจรจากับฝ่ายเขมร จนสามารถยุติความขัดแย้งได้ในที่สุด

พล.อ.ประวิตร ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี 2543 ว่า “ป้อมทะลุเป้า” เนื่องจากผลงานความมั่นคงที่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างทะลุเป้าหมาย ตลอดจนการอนุมัติงบประมาณต่างๆ เพื่อพัฒนากองทัพก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้

พล.อ.ประวิตร มีภารกิจพิเศษที่ได้รับมอบหมายในระหว่างรับราชการตราบจนปัจจุบัน คือ

เป็นราชองครักษ์เวร ตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน

เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการร่วมถวายความปลอดภัยวังไกลกังวล ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2545 จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2546

เป็นประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2539 จนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2540

เป็นประธานโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าบริเวณพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด (ภาคตะวันออก) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ปี 2545-2546)

เป็นประธานกรรมการโครงการสวนป่าเฉลิมพระเกียรติในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จ.ราชบุรี (ปี 2545-2546)

เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 (ทบ.)

และได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปีพุทธศักราช 2540 สาขาการพัฒนาทางทหาร

ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวชิรมงกกุฎ (ม.ว.ม.) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.) ได้รับเหรียญชัยสมรภูมิ (กรณีสงครามเวียดนาม) ได้รับเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ชั้นที่ 1) ได้รับเหรียญราชการชายแดน เหรียญจักรมาลา และเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 1

ข่าวล่าสุด

รองนายกฯ “เอกนิติ” มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 2568