พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ 'ป้อมทะลุเป้า'
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือที่เรียกว่า บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือที่เรียกว่า บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ รมว.กลาโหม ประธานคณะที่ปรึกษาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รองหัวหน้า คสช.ในปัจจุบัน เกิดเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2488 เป็นบุตรชายคนโตของ พล.ต.ประเสริฐ และนางสายสนี วงษ์สุวรรณ มีน้องชายร่วมบิดามารดา 4 คน คือ
1.พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ
2.พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
3.พงษ์พันธุ์ วงษ์สุวรรณ
4.พันธุ์พงษ์ วงษ์สุวรรณ (ถึงแก่กรรม)
จบการศึกษาชั้นต้นจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล มีเพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนมาตั้งแต่ชั้นประถมถึงมัธยมปลายคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ธงชัย ภิงคารวัฒน์ (พี่ชายของภรรยา ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์) พล.อ.สุรสิทธิ์ มัยลาภ สมยศ วินิจฉัยกุล และ พล.อ.วรเดช ภูมิจิตร ฯลฯ
หลังจากจบการศึกษาที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียลก็ได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนเตรียมทหาร เป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 17 รุ่นเดียวกันกับ พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน และ พล.อ.วินัย ภัททิยะกุล ระหว่างที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนนายร้อย มีรหัส 7647
พล.อ.ประวิตร เริ่มรับราชการเมื่อปี 2512 เป็นผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 2 กรมผสมที่ 3 ต่อมาในปี 2519 เป็นนายทหารยุทธการและการฝึก กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ปี 2524 เป็นผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ปี 2532 เป็นผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ และปี 2539 เป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์
ต่อมาในปี 2540 ได้รับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 ปี 2541 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ปี 2543 เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก ปีต่อมาได้รับตำแหน่งผู้ช่วยเสนาธิการทหารบก ฝ่ายยุทธการ ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้บัญชาการทหารบก ตำแหน่งละหนึ่งปีตามลำดับ
และในปี 2554 ได้รับตำแหน่งเป็นคณะดำเนินคดีศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรณีประเทศกัมพูชาฟ้องร้องประเทศไทย
พล.อ.ประวิตร ถือได้ว่าเป็นนายทหารที่เติบโตมาจากกองทัพภาคที่ 1 ทางภาคตะวันออกมาโดยตลอด โดยสังกัดกับกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21รอ.) หรือที่เรียกกันว่า “ทหารเสือราชินี” ถือได้ว่าเป็นนายทหารรุ่นพี่ที่สนิทสนมกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพราะต่างก็ล้วนแต่เป็นทหารเสือราชินีสายบูรพาพยัคฆ์ด้วยกันทั้งสิ้น
แม้จะมีอาชีพรับราชการทหารมาโดยตลอดชีวิต และในบางช่วงบางตอนจะต้องไปใช้ชีวิตในสนามรบ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องพิทักษ์รักษาแผ่นดินและความมั่นคงของชาติในต่างจังหวัดหรือบริเวณชายแดนของประเทศ มีหน้าที่ความรับผิดชอบทางราชการมากมาย แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่เคยขาดการติดต่อกับเพื่อนสนิทมิตรสหายที่เรียนหนังสือด้วยกันมาตั้งแต่เด็กในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลยังคงคบค้าสมาคมไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ เคยสนิทสนมรักใคร่กันอย่างไรในวัยเด็ก เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งรักใคร่เกื้อกูลกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และปัฐวาท ที่คอยเอาใจใส่ในความเป็นไปและความเจริญก้าวหน้าในราชการทหารของเพื่อนด้วยความชื่นชมยินดี และนับถือในการครองตัวของ พล.อ.ประวิตร ที่สามารถดำรงอยู่ในตำแหน่งราชการที่สำคัญ และสามารถทำคุณประโยชน์ให้แก่ชาติบ้านเมืองอย่างมากมาย ด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดีตลอดมา
เนื่องจาก พล.อ.ประวิตร เป็นลูกชายคนโตที่เป็นความหวังของครอบครัว จึงเป็นที่รักและห่วงใยของแม่มากที่สุด การครองตัวเป็นโสดไม่มีครอบครัวให้เป็นภาระทำให้มีโอกาสและเวลาทุ่มเทให้กับงานราชการได้มาก ความเจริญก้าวหน้าทางราชการที่ผ่านมา และการที่ พล.อ.ประวิตร ได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดินอย่างต่อเนื่อง ได้นำความปลื้มปีติอย่างเหลือล้นมาสู่แม่ผู้รักลูกอย่างยิ่ง และการที่ พล.อ.ประวิตร ตัดสินใจไม่แต่งงานก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยมีความรัก ชีวิตในวัยหนุ่มของนายทหารที่หวังจะมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตย่อมจะมีความรักและความฝันมากมาย เคยผ่านความรักมากับหญิงสาวที่เคยพึงใจก็มิใช่น้อย แต่การตัดสินใจในเรื่องชีวิตคู่ต้องสะดุดลง เพราะวันหนึ่งเมื่อน้องชายคนที่ 2 จะแต่งงาน พล.อ.ประวิตร ได้ยินพ่อแม่คุยกันว่า เมื่อลูกชายตัดสินใจจะแต่งงานก็คงจะต้องใช้เงินในการสู่ขอและตบแต่งพอสมควร ฉะนั้นเพื่อให้การแต่งงานของลูกลุล่วงไปด้วยดี พ่อกับแม่จึงต้องตัดสินใจขายที่ดินแปลงหนึ่งเพื่อเป็นทุนในการแต่งงานของลูกชาย แล้วพ่อแม่มีลูกชายตั้ง 5 คน จะหาที่ดินที่ไหนมาขายให้ลูกแต่งงานได้ครบทั้ง 5 คน นับตั้งแต่นั้นมา พล.อ.ประวิตร จึงตัดสินใจว่าจะไม่แต่งงานให้พ่อแม่เป็นภาระ ทิ้งความหวังและความฝันในชีวิตครอบครัวไปเสียสิ้น คิดแต่จะทำงานหนักเพื่อความเจริญก้าวหน้าในราชการทหาร ด้วยความซื่อตรงและจงรักภักดีเท่านั้น
มิตรภาพระหว่าง พล.อ.ประวิตร และเพื่อนสนิทจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นมิตรภาพที่งดงามซึ่งต่างฝ่ายต่างก็หยิบยื่นแต่สิ่งดีงามให้ซึ่งกันและกัน หลายคนรู้ว่าเพื่อนนายทหารที่รับราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แม้จะมีตำแหน่งทางราชการสำคัญใหญ่โตเพียงไรก็ไม่ได้มีเงินมากมายมหาศาลที่จะจับจ่ายใช้สอยได้ตามอำเภอใจ ดังนั้นเพื่อนคนที่มีมาก ทำธุรกิจได้มาก มีฐานะการเงินที่มั่นคงด้วยพื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัวก็ได้จัดเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้เพื่อนใช้แก้ขัดอยู่เสมอ ส่วนเพื่อนที่มีความสามารถทำธุรกิจการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ก็คอยช่วยเหลือนำเงินเก็บของเพื่อนไปช่วยลงทุนในธุรกิจในตลาดหลักทรัพย์จนเงินที่มีอยู่งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ชีวิตราชการทหารของ พล.อ.ประวิตร ดำรงอยู่อย่างสบายได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และสามารถซื้อที่ดินสร้างบ้านด้วยตนเอง และตั้งชื่อบ้านว่า ปิยะมิตร เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกถึงความดีงามของเพื่อนที่มีต่อเพื่อนที่เอาใจใส่ดูแลกันตลอดมา
ด้วยความเป็นนายทหารที่มีบุคลิกโผงผางตรงไปตรงมา และถ้าหากดูกันแต่ภายนอกบางครั้งก็จะเป็นคนเอะอะโวยวายน่าเกรงขาม แต่โดยเนื้อแท้แล้ว พล.อ.ประวิตร เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ เป็นนายทหารที่ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาให้ความรัก ให้ความเคารพนับถือ เป็นผู้ใหญ่ที่มีความยุติธรรมเที่ยงตรง ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มองการณ์ไกล ให้ความรักความเอาใจใส่ในหน่วยทหารทุกหมู่เหล่าด้วยความเสมอภาค พร้อมที่จะสละความสุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและกองทัพอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้จะมีการกล่าวว่า พล.อ.ประวิตร ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาทหารบกมาด้วยบารมีของ พจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยาของทักษิณ ชินวัตร ภายหลังที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก แต่ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประวิตร ก็ได้พิสูจน์ตนเองว่าไม่ใช่นายทหารที่นักการเมืองจะสั่งการให้ทำอะไรตามอำเภอใจได้ นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นตัวของตัวเองแล้ว ยังมุ่งมั่นพัฒนากองทัพบกให้มีความแข็งแกร่งเป็นปึกแผ่น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สามารถนำพากองทัพให้มีความแน่วแน่ในการปฏิบัติหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ได้เป็นอย่างดี
เมื่อได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง รมว.กลาโหม ร่วมรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในปี 2553 ได้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบของกลุ่ม นปช.ที่ก่อความวุ่นวายเผาบ้านเมืองทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จน อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นได้ประกาศใช้พระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินขึ้นแก้ปัญหา พล.อ.ประวิตร ก็ร่วมอยู่ในเหตุการณ์นั้น และมีส่วนสำคัญในการดำเนินการแก้ไขปัญหาความไม่สงบนั้นให้หมดสิ้นลง และเมื่อเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทยเขมร เพราะความบาดหมางของรัฐบาลทั้งสองฝ่าย พล.อ.ประวิตร ก็ได้ใช้นโยบายความสัมพันธ์อันดีทางการทหารและกองทัพเปิดการเจรจากับฝ่ายเขมร จนสามารถยุติความขัดแย้งได้ในที่สุด
พล.อ.ประวิตร ได้รับฉายาจากสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี 2543 ว่า “ป้อมทะลุเป้า” เนื่องจากผลงานความมั่นคงที่ได้ดำเนินการเป็นไปอย่างทะลุเป้าหมาย ตลอดจนการอนุมัติงบประมาณต่างๆ เพื่อพัฒนากองทัพก็ประสบความสำเร็จตามที่คาดหวังไว้
พล.อ.ประวิตร มีภารกิจพิเศษที่ได้รับมอบหมายในระหว่างรับราชการตราบจนปัจจุบัน คือ
เป็นราชองครักษ์เวร ตั้งแต่ปี 2534 จนถึงปัจจุบัน
เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการร่วมถวายความปลอดภัยวังไกลกังวล ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2545 จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2546
เป็นประธานคณะอนุกรรมการพัฒนาพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 2539 จนถึงวันที่ 1 ต.ค. 2540
เป็นประธานโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่าบริเวณพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด (ภาคตะวันออก) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ (ปี 2545-2546)
เป็นประธานกรรมการโครงการสวนป่าเฉลิมพระเกียรติในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จ.ราชบุรี (ปี 2545-2546)
เป็นประธานนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 6 (ทบ.)
และได้รับรางวัลเกียรติยศจักรดาว ประจำปีพุทธศักราช 2540 สาขาการพัฒนาทางทหาร
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ในพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาวชิรมงกกุฎ (ม.ว.ม.) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยิ่งตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ต.จ.ว.) ได้รับเหรียญชัยสมรภูมิ (กรณีสงครามเวียดนาม) ได้รับเหรียญพิทักษ์เสรีชน (ชั้นที่ 1) ได้รับเหรียญราชการชายแดน เหรียญจักรมาลา และเหรียญลูกเสือสดุดีชั้นที่ 1


