posttoday

ความเชื่อตรงของเจ้าหน้าที่รัฐ

10 ตุลาคม 2557

“อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ของชาติ”

“อย่าตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ของชาติ”

วรรคทองนี้เป็นของ เติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนในช่วงต้นศตวรรษที่ 2520 ซึ่งมีการนำมาอธิบายความหมายของ “สำนึกรับผิดชอบ” (Accountability) ในหลัก “ธรรมาภิบาล”

ที่มาของวรรคทองนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่เติ้งเสี่ยวผิงก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของจีน มีนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่งของจีนที่เคยมีบุญคุณต่อเติ้งเสี่ยวผิง ด้วยการให้ที่หลบหนีเมื่อครั้งถูกไล่ล่าจากศัตรูทางการเมือง ได้ขอตำแหน่งสำคัญในกองทัพจีน

ถ้าคิดอย่างผิวเผินก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะการช่วยชีวิตผู้นำจนทำให้มีวันนี้เป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่ และสอดคล้องกับสุภาษิตจีนที่ว่า บุญคุณต้องตอบแทน ซึ่งยึดถือกันมานานแล้ว

ในกรณีนี้ เติ้งเสี่ยวผิงปฏิเสธการขอตำแหน่งของนายพลผู้นั้น โดยให้เหตุผลว่า

“อันบุญคุณของท่านที่ช่วยข้าพเจ้าส่วนตัวนั้น ข้าฯ ก็เห็นแจ้งอยู่ หากท่านต้องการอะไรจากข้าฯ เป็นส่วนตัวแล้วไซร้ ข้าฯ ก็ยินดีตอบสนองคุณท่านมิได้ลืม แต่ประเทศชาติหาได้เป็นหนี้บุญคุณต่อท่านไม่ ข้าฯ มิอาจตอบแทนบุญคุณส่วนตัวด้วยผลประโยชน์ของชาติได้”

ไม่มีรายงานข่าวว่านายพลผู้นี้มีอนาคตอย่างไร และเติ้งเสี่ยวผิงตอบแทนบุญคุณหนี้ชีวิตอย่างไร แต่สิ่งที่เติ้งเสี่ยวผิงพูดนั้น สะท้อนจุดอ่อนของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มักจะได้รับการร้องขอในระบบ “อุปถัมภ์” ให้ใช้อำนาจหน้าที่เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง ซึ่งเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบหรือคอร์รัปชั่นลักษณะหนึ่ง

นัยของวรรคทองนี้ ถูกนำมาเป็นปรัชญาการบริหารราชการแผ่นดินด้าน “คุณธรรมของผู้นำ” ที่ต้องมีสำนึกรับผิดชอบต่ออำนาจหน้าที่ที่ได้รับ ด้วยการใช้อำนาจรัฐโดยยึดประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ความซื่อตรง” (Integrity) และเป็นตัวชี้วัดหลักความไว้วางใจและเชื่อถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ

แม้แต่หน่วยงานที่เกี่ยวกับความมั่นคง เช่น กองทัพอากาศสหรัฐอเมริกา ก็ได้กำหนด “ค่านิยมหลัก” (Core Value) เรื่องนี้เมื่อปี ค.ศ. 1991 และใช้มาจนถึงปัจจุบันว่า

“Integrity first, Service before self, Excellence in all we do”

สรุปความได้ว่า Integrity มาอันดับแรก, งานราชการมาก่อนงานส่วนตัว และทำทุกสิ่งให้ดีที่สุด

“Integrity” มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า “Integer” แปลว่า ความครบถ้วนสมบูรณ์ ความเป็นจำนวนเต็ม จึงถูกนำมาใช้กับคุณลักษณะของคนว่า “เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์”

จากการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องสรุปได้ว่า “ความซื่อตรง” หมายถึง การประพฤติตรง ไม่เอนเอียง ไร้เล่ห์เหลี่ยม ไม่คดโกง การกระทำที่ซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา ประพฤติปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง รวมถึงการยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม

สำหรับความซื่อตรงนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลักคิดของข้าราชการไว้ในพระราชนิพนธ์ “หลักราชการ” เมื่อปี 2475 ว่า

“ความซื่อตรงต่อบุคคลทั่วไป คือ ประพฤติซื่อตรงต่อคนทั่วไป รักษาตนให้เป็นคนควรเขาทั้งหลายจะเชื่อถือได้ โดยรักษาวาจาสัตย์พูดอะไรเป็นมั่น ไม่เหียนหันเปลี่ยนแปลง คำพูดไปเพื่อความสะดวกเฉพาะครั้ง 1 คราว 1”

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการนำคุณธรรม “ความซื่อตรง” มาใช้เป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ หรือบุคคลสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อถือศรัทธาและความไว้วางใจให้กับบุคคลทั่วไป

อย่างไรก็ดี ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ได้พระราชทานข้อคิดไว้ใน “หลักราชการ” อีกประการหนึ่งว่า

“ความซื่อตรงต่อหน้าที่ คือ ตั้งใจกระทำกิจการซึ่งได้รับมอบหมายเป็นหน้าที่ของตนโดยซื่อสัตย์สุจริต ใช้ความอุตสาหวิริยภาพเต็มสติกำลังของตน ด้วยความมุ่งหมายให้กิจกรรมนั้นๆ บรรลุซึ่งความสำเร็จโดยอาการอันงดงามที่สุดที่พึงมีหนทางปฏิบัติได้”

นั่นหมายความว่า “ข้าราชการ” รวมถึง “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับมอบโดยกฎหมายให้ใช้ “อำนาจรัฐ” ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต วิริยอุตสาหะ และทำงานตามที่ได้รับมอบหมายให้ สำเร็จอย่างดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ รวมถึงรักษาคำพูดที่ได้เคยเปล่งวาจาไว้

ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏคำว่า “ซื่อสัตย์สุจริต” ในคำปฏิญาณตนของเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกประเภท แต่สิ่งที่เห็นเชิงประจักษ์ในสังคมไทยกลับตรงกันข้าม ซึ่งส่งผลให้การประเมินความเชื่อถือศรัทธาเจ้าหน้าที่ของรัฐไทยในสายตาชาวต่างประเทศทุกสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ต่ำมาก”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้แถลงว่า

“จากการรวบรวมข้อมูลทุจริตของหน่วยงานราชการในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา มีการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนเข้ามายัง ป.ป.ท.เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบจากสถิติก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องการกระทำผิดวินัยของข้าราชการ 133 หน่วยงาน จากทั้งหมด 171 หน่วยงาน โดยในช่วงเดือน ก.ค.ก.ย. 2557 มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเข้ามาถึง 91 เรื่อง”

ในตอนท้ายเลขาธิการ ป.ป.ท. ได้สรุปว่า มีข้าราชการกระทำผิดวินัยและมีปัญหาคอร์รัปชั่นมากที่สุด คือ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงคมนาคม ส่วนหน่วยงานที่ทีปัญหาการเรียกรับสินบน คือ กรมศุลกากร ทั้งในรูปแบบการถ่ายเทของกลาง การเรียกเก็บประโยชน์จากการขนส่งสินค้าผ่านด่าน และกระทรวงมหาดไทย คือ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ถึง 8,000 แห่ง รวมทั้ง อบต.และ อบจ.ก็มีตัวเลขการร้องเรียนเรื่องการทุจริตสูงด้วยเช่นกัน

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2557 ไพร้ซ วอเตอร์เฮาส์ คูเปอร์ส (PwC ประเทศไทย) เปิดเผยผลสำรวจ อาชญากรรมทางเศรษฐกิจ Thailand Economic Crime Survey ประจำปี 2557 พบว่ามีบริษัทไทยที่ทำการสำรวจถึง 37% ที่ตกเป็นเหยื่อการทุจริต ซึ่งถือเป็นอัตราที่สูงกว่าภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกโดยเฉลี่ยที่ 32% และโลกที่ระดับเดียวกัน

ประเภทของการทุจริตที่พบมากที่สุด 5 อันดับแรกของไทย ได้แก่ (1) การยักยอกสินทรัพย์ (Asset misappropriation) 71% (2) การทุจริตจัดซื้อ (Procurement fraud) 43% (3) การรับสินบนและคอร์รัปชั่น (Bribery and corruption) 39% (4) อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cybercrime) 14% และการทุจริตทางบัญชี (Accounting fraud) 18%

จากข่าวทั้งสองเรื่องนี้ จะเห็นว่า สถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทยเลวร้ายมากขึ้น แม้จะอยู่ในสถานการณ์พิเศษที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินก็ตาม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ได้เกรงกลัวความผิดเลย ยังคงทุจริตประพฤติมิชอบกันเป็น “ปกติ” และหัวหน้าส่วนราชการของรัฐก็ขาดความเอาใจใส่ในการกวดขันปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ

สิ่งที่ต้องยอมรับ คือ กระบวนการเอาผิดคนคอร์รัปชั่นในประเทศไทยล่าช้ามาก แม้แต่คดีจัดซื้อไมโครโฟนของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ท่านหัวหน้า คสช.ยังให้เวลาตรวจสอบ 3 เดือน ขณะที่เรื่องนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร 7 วันก็น่าจะรู้เรื่องแล้วว่า ผิดหรือไม่ผิด และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง

อาจเป็นเพราะสยามเมื่อยิ้มบ้านเรายังมีปัญหาลูบหน้าปะจมูกกันมาก การร้องขอให้บรรเทาโทษจากการทุจริตด้วยการวิ่งเต้นเส้นสาย ด้วยการกล่าวอ้างบุญคุณและใช้อิทธิพลของบางคนช่วยเหลือ ยังคงมีเค้าลางให้เห็นผ่านสื่อสาธารณะอย่างมากมายในปัจจุบัน ซึ่งสะท้อนความบกพร่องทางจริยธรรมของผู้ปกครอง

วรรคทองของเติ้งเสี่ยวผิง ที่นำมาเล่าสู่กันฟังข้างต้น อาจเรียกมโนสติของผู้มีอำนาจและอิทธิพลในบ้านเมืองให้ดำรงความซื่อตรง ด้วยการ ลด ละ เลิก การช่วยเหลือพวกพ้องในระบบอุปถัมภ์ โดยเฉพาะกรณีการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ และการโยกย้ายแต่งตั้งตามคำร้องขอเข้ามาใช้อำนาจรัฐของนักวิ่งเต้นที่ไร้คุณภาพ ซึ่งทำให้บ้านเมืองเสียหายเช่นที่ผ่านมา

สิ่งสำคัญ ต้องไม่ลืมว่า “ขงจื้อ” ได้ให้ข้อคิดสำหรับผู้ปกครองว่า

“ผู้ปกครองหากปฏิบัติตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าจะไม่ออกคำสั่งประชาชนยังปฏิบัติตาม หากผู้ปกครองปฏิบัติตนไม่ซื่อตรง ชาวประชาย่อมไม่เชื่อฟัง”

คุณธรรมความ “ซื่อตรง” นี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้อง “ปฏิรูป” ควบคู่ไปกับการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งต้องเริ่มจากตัวหัวหน้าส่วนราชการของรัฐทุกระดับและขยายผลไปสู่เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน

ทั้งนี้ เพื่อกู้ชื่อเสียง ความศรัทธาและไว้วางใจเจ้าหน้าที่ของรัฐกลับคืนมา ตาม “ความฝัน” ของ คสช.

ข่าวล่าสุด

ผู้ว่า ธปท. ห่วงบาทแข็งเร็ว สั่งตรวจเข้มทำธุรกรรมซื้อขายดอลลาร์