posttoday

เสรีภาพในสมัยรัชกาลที่6

03 ตุลาคม 2557

ใน “What is Enlightenment?” คานท์ (Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันเรียกร้องให้ผู้คนกล้าคิดกล้าใช้เหตุผล ด้วยตัวของตัวเองและมุ่งหวังให้คนทุกคนในสังคมเป็นเช่นนั้น หากมีบางคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่มเกิด “ตาสว่าง” (Enlightened) ก่อนเพื่อน

ใน “What is Enlightenment?” คานท์ (Kant) นักปรัชญาชาวเยอรมันเรียกร้องให้ผู้คนกล้าคิดกล้าใช้เหตุผล ด้วยตัวของตัวเองและมุ่งหวังให้คนทุกคนในสังคมเป็นเช่นนั้น หากมีบางคนหรือกลุ่มคนบางกลุ่มเกิด “ตาสว่าง” (Enlightened) ก่อนเพื่อน

คานท์ก็ไม่เห็นด้วยที่คนเหล่านั้นจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำทางให้กับมหาชนที่ยังไม่ “ตาสว่าง” หรือยังไม่สามารถคิดได้เอง เพราะถ้าปล่อยให้คนบางคนหรือคณะบุคคลบางคณะที่ตาสว่างแล้วทำการนำทางให้กับคนอื่นๆ มหาชนก็ยังไม่ได้ “คิดเอง” อยู่ดี ไปๆ มาๆ ก็จะกลายเป็นการปลดแอกเก่า แล้วเอาแอกใหม่ไปสวมให้ประชาชน

คานท์เห็นว่า หากมีใครเกิดคิดอะไรได้ก่อน ก็ควรที่จะพยายาม “ขายความคิด” นั้นให้แก่คนอื่นๆ ในทำนองของการตั้งประเด็นให้ขบคิดถกเถียง ถ้ามีคนเห็นด้วยเพราะพวกเขาเหล่านั้นคิดหรือใช้เหตุผลของตัวเองแล้วและได้ข้อสรุปเดียวกัน ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการนำพากันเข้าสู่ “Enlightenment” แต่ถ้าผู้คนยังไม่รับก็ต้องพยายามต่อไป เพราะสำหรับคานท์คำว่า “Enlightenment” ไม่ได้หมายความเฉพาะปัจเจกบุคคล “Enlightenment” แต่จะมีความหมายจริงๆ ได้ ก็ต่อเมื่อคนในสังคมโดยรวมคิดและใช้เหตุผลของตัวเองในการบรรลุถึงข้อตกลงอะไรบางอย่างร่วมกัน

คานท์มองการปฏิวัติที่มักเกิดขึ้นจากการยึดอำนาจของคนบางกลุ่มที่หวังดีต่อสังคมว่า “การปฏิวัติอาจจะนำมาซึ่งการสิ้นสุดของอำนาจเผด็จการของผู้ปกครองหรือการกดขี่ของทรราช แต่ไม่มีทางเลยที่การปฏิวัติจะนำมาซึ่งการปฏิรูปวิถีความคิดที่แท้จริงได้ แต่มันเป็นเพียงการแทนที่อคติเก่าด้วยอคติชุดใหม่ที่ทำหน้าที่ชี้นำให้กับมหาชนที่ไม่ได้คิดอะไรได้เอง” แม้ว่าคานท์จะปลุกให้คนกล้าคิด แต่เขาไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติแบบนั้น

แต่ถ้าจะให้ “คณะราษฎร” ค่อยๆ ขายความคิด “การเปลี่ยนแปลงการปกครอง” เสียก่อนภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การกระทำเช่นนั้นเท่ากับเป็นการ “กบฏ” มีโทษถึงตายมิใช่หรือ?

ดังนั้น ผู้ปกครองในทุกยุคทุกสมัยก็ควรกล้าที่จะเปิดโอกาสให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในสมัยรัชกาลที่ 6 มีผู้พยายามเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ไม่สำเร็จกลายเป็นกบฏ รู้จักกันในนาม “กบฏ ร.ศ. 130” ในที่สุด พระองค์ก็ทรง “พระราชทานอภัยโทษให้ทั้งหมด อีกทั้งยังแจกกางเกง ผ้าขาวม้าและเงิน 100 สตางค์ให้ทุกคนอีกด้วย การพระราชทานอภัยโทษครั้งนี้อาจนับได้ว่าพระองค์ทรงเล็งเห็นความปรารถนาดีของกลุ่มก่อการกบฏ ที่ต้องการให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับอารยประเทศ จึงไม่ทรงเอาโทษจัดเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยอีกอย่างหนึ่งของพระองค์”

เห็นได้ว่า แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จะยังมิได้พระราชทาน “รัฐสภา” และ “รัฐธรรมนูญ” ให้กับประชาชนชาวไทยเพราะพระองค์ทรงเห็นว่าคนไทยยังไม่พร้อม แต่พระองค์ก็ได้ทรงปูทางไปสู่การเปลี่ยนแปลง โดยเปิดเสรีให้ผู้คนในสังคมได้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้ ทั้งๆ ที่ยังเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ขณะเดียวกัน พระองค์ “ทรงทราบดีว่ามีกลุ่มประชาชนคนไทยจำนวนหนึ่งที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แม้จะทรงเห็นด้วย แต่ความรู้เรื่องประชาธิปไตยจำกัดขอบเขตอยู่ในคนส่วนน้อยเท่านั้น” ดังนั้นพระองค์ “จึงทรงดำเนินพระราชกุศโลบายเพื่อเผยแพร่ประชาธิปไตย” โดย “ทรงเขียนบทความทางการเมืองตอบโต้กับคนหัวใหม่สามัญชน

แม้พระองค์จะทรงใช้พระนามแฝงแต่คนทั่วไปก็ทราบดีว่า ผู้เขียนคือพระองค์ เป็นการสร้างความรู้สึกที่ดีในหมู่พสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์มิได้ถือพระองค์ ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นนักประชาธิปไตยเป็นอีกก้าวหนึ่งในการปูพื้นฐานประชาธิปไตยของพระองค์” ส่งผลให้สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างโดดเด่นในรัชสมัยของพระองค์ที่ไม่มีใครปฏิเสธ นั่นคือ “บรรยากาศแห่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น” ดังที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยได้บรรยายไว้ว่า

“กิจการหนังสือพิมพ์ในรัชสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วด้วยองค์ประกอบหลายประการ ทำให้ประชาชนเริ่มหันมาให้ความสนใจกับเหตุการณ์บ้านเมือง อยากทราบความเป็นไปรอบตัวมากขึ้น จึงให้ความสนใจต่อหนังสือพิมพ์ในฐานะสื่อมวลชนชนิดเดียวในเวลานั้น กอปรกับหนังสือพิมพ์เริ่มมีบทบาทในการวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์บ้านเมือง การทำงานของขุนนางหัวเก่าทั้งหลาย ตลอดจนเรื่องส่วนตัวอย่างกว้างขวาง สร้างบรรยากาศของการวิพากษ์วิจารณ์ทางหน้าหนังสือพิมพ์อย่างคึกคัก

อย่างไรก็ดี ความรุ่งเรืองของหนังสือพิมพ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 กอปรกับการให้สิทธิเสรีภาพอย่างเต็มที่ก็เป็นเหตุให้นักหนังสือพิมพ์บางคน หนังสือพิมพ์บางฉบับใช้เสรีภาพอย่างเพลิดเพลินจนเกินขอบเขตอันเหมาะสมเกินกว่าที่จะรับได้ การใช้เสรีภาพอย่างเกินขอบเขตนี้เอง ที่ทำให้รัฐบาลสมัยนั้นเห็นความจำเป็นในการกำหนดบทควบคุมความเกินเลยของหนังสือพิมพ์ขึ้น รัชกาลที่ 6 จึงออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมหนังสือพิมพ์โดยตรงขึ้นเป็นครั้งแรก คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยสมุด เอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ. 2465

อย่างไรก็ดี มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าถึงแม้ว่าจะได้ตรากฎหมายควบคุมพฤติกรรมของหนังสือพิมพ์ขึ้นแล้วก็ตาม แต่การจัดการกับหนังสือพิมพ์เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายดังกล่าวก็ยังไม่เข้มงวดมากนัก นักหนังสือพิมพ์ยังคงมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามปกติ แต่จะเน้นไปในทางการจัดตั้งโรงพิมพ์และให้เจ้าของหนังสือพิมพ์และบรรณาธิการมีความรับผิดชอบในการทำหนังสือพิมพ์มากขึ้น โดยจะใช้วิธีปิดโรงพิมพ์ในกรณีที่สร้างความปั่นป่วนให้เกิดขึ้นมากกว่าจะมุ่งลิดรอนเสรีภาพอย่างเคร่งครัด”

ข่าวล่าสุด

โปรแกรมซีเกมส์ 2025 วันนี้ 15 ธ.ค. 68 ลิ้งก์ดูสด ถ่ายทอดสดช่องไหน