เสียงจากเด็กอุเทน-ปทุมวัน"อย่าเหมาเข่งปิดสถาบัน"
ใครทำใครตีก็ต้องลงโทษคนนั้น มาเหมารวมแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ถ้าแก้ปัญหากันอย่างเป็นระบบมันก็ต้องจบ
โดย...กันติพิชญ์ ใจบุญ,ธเนศน์ นุ่นมัน
ปัญหานักเรียนนักเลง เป็นเรื่องคาราคาซังมานานหลายสิบปีที่แก้ไขได้ยากมาก ล่าสุด นพ.กำจร ตติยกวี เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้ออกมาตรการ แก้ปัญหาการทะเลาะวิวาทของ 2 สถาบันคู่อริ ระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย กับ สถาบันเทคโนโลยีปทุมวัน
ประกอบด้วย 1.ห้ามไม่ให้มีอาวุธในสถานศึกษาโดยเด็ดขาด 2.หากพบว่ามีผู้กระทำผิดให้ลงโทษอย่างจริงจังและเด็ดขาด 3.ฝึกวินัยให้กับนักศึกษา โดยในปีการศึกษา 2558 ให้ทั้ง 2 สถาบันจัดกิจกรรมปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ร่วมกันเพื่อฝึกวินัย ฝึกความสามัคคีกลมเกลียวซึ่งทั้ง 2 สถาบันมีแนวคิดจะประสานขอให้ทหารเข้ามามีส่วนร่วมในการฝึกวินัยครั้งนี้ 4.ขอให้ทั้ง 2 สถาบันสร้างความเข้มแข็งทางวิชาการและร่วมมือกันการสร้างงานวิชาการในอนาคตให้มากขึ้น รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ปกครองและนักเรียนได้รู้ถึงจุดเด่นทางวิชาการของแต่ละสถาบันเพื่อให้รู้ว่าหากเรียนจบที่มีจะมีอนาคตอย่างไร
"ขอให้ทั้ง 2 สถาบันรวมรายชื่อหัวโจกส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ และ สกอ.จากนั้นผมจะส่งต่อไปยัง คสช.ด้วย ซึ่งหากมีการก่อเหตุวิวาทขึ้นมาอีก เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้เรียกหัวโจกที่มีรายชื่อทั้งหมดมาสอบปากคำ" นพ.กำจร กล่าว
การใช้ไม้แข็งครั้งนี้เป็นผลพวงจากคำสั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่สั่งเด็ดขาด หากสถาบันใดเกิดเหตุทะเลาะวิวาทก็ให้สั่งปิดทันที
กระนั้น เสียงของทั้ง ก่อสร้างอุเทนถวาย และช่างกลปทุมวัน ที่เป็นคู่อริกันมานานหลายทศวรรษ ก็น่าสนใจไม่น้อย
โจ้ (ขอสงวนชื่อ) คณะวิศวกรรม ชั้นปีที่ 3 จากก่อสร้างอุเทนถวาย เล่าว่า การปิด ไม่มีความเป็นธรรม เพราะนักเรียนนักเลงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว ไปก่อเหตุตีกันแล้วถูกสั่งปิดการเรียนชั่วคราวนั้น ย่อมไม่เกิดผลดี
“นักศึกษาที่ไม่เกี่ยวข้อง เขามาเรียนเพราะเขาสอบได้ สถาบันดี อาจารย์สอนดี จบออกมามีเกียรติมีศักดิ์ศรีเอาไปใช้ทำงานเลี้ยงตัวเอง แต่มาปิดโรงเรียนผมก็ห่วงว่าจะมีประวัติ ไม่ใช่ว่าจบไปสมัครงานที่ไหนก็จะเจอคำถาม อ้าว มึงนักเลงนี่หว่า ไม่เอามันมาทำงาน แบบนี้มันไม่เป็นผลดี ส่วนจะแก้ไขอย่างไรผมก็ไม่รู้ แต่มาปิดโรงเรียนกันมันคงไม่ถูกต้อง”นักศึษาอุเทนถวาย ย้ำ
ไม่ต่างจากสถาบันคู่อริอย่าง วิชัย (ขอสงวนนามสกุล) ชั้นปี 4 ช่างกลปทุมวัน สอดรับว่า มาตรการดังกล่าวไม่มีประโยชน์ เพราะนักศึกษาที่ตีกัน ส่วนใหญ่ก็ไม่สนการเรียนอะไรอยู่แล้ว แต่คนที่เรียนหนังสือที่ตั้งใจจริง กลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบ และอย่าลืมว่า กลุ่มที่ไปก่อเหตุทะเลาะวิวาทจนเป็นเหตุให้มีคนตายนั้น พวกนี้จะไม่สนใจการเรียนอยู่แล้ว หรือบางคนก็ถูกให้ออกไปเพราะเรื่องวิวาท และยังไปก่อเหตุ แต่พอถูกจับ สถาบันก็มักจะถูกพูดถึงในแง่ลบทันที
“มันแก้ไม่ตรงจุด มาตรการปิดโรงเรียนอาจจะดี ผมคิดว่าคงไปกระตุกให้ผู้บริหารสถานศึกษาเข้มงวดเรื่องตีกันมากขึ้น แต่คนที่ได้รับผลกระทบมันนักศึกษาหรือนักเรียนส่วนใหญ่ที่ไม่เกี่ยวข้อง ใครทำใครตีก็ต้องลงโทษคนนั้น มาเหมารวมแบบนี้มันไม่ถูกต้อง เอาจริงๆ ถ้าแก้ปัญหากันอย่างเป็นระบบ ผู้บริหารของสองสถาบันลงแรงลงสมองกันให้มาก ปัญหามันก็ต้องจบ”
วิชัย ย้ำด้วยว่า สองสถาบันทั้งก่อสร้างอุเทนถวาย และช่างกลปทุมวันที่วิชัยเรียนอยู่นั้น ระยะหลังแทบจะไม่มีปัญหาระหว่างกันแล้ว นานหลายปีที่อยู่กันอย่างเงียบสงบ แต่จนแล้วจนรอดก็เกิดเรื่องขึ้นอย่างรุนแรงในรอบเพียง 1 เดือน และนั่นทำให้เพื่อนๆ นักศึกษาทั้งสองสถาบันก็ต้องตกอยู่ภาวะวิตกอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่รู้วันไหน “หวย” จะมาออกที่ใคร หรือใครคนใดจะถูกเล่นจากอริต่างสถาบัน กลายเป็นไฟที่ลุกโชนหลังจากที่ควันมันได้สงบมานานกว่า 3 ปี
หากย้อนดูสถิตินักเรียนอาชีวศึกษาก่อเหตุทะเลาะวิวาทซึ่งกองบัญชาการตำรวจนครบาลเคยบันทึกไว้ระบุว่า ในปี 2552 มีการก่อเหตุ 2,619 ครั้ง ในปี 2553 ระหว่างเดือน ม.ค.-ก.ย. มีการก่อเหตุ 2,132 ครั้ง แม้ปีต่อๆ มาจะไม่มีการระบุถึงสถิติอย่างชัดเจนแต่หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างยืนยันตรงกันว่ามีตัวเลขลดลง ทว่าสิ่งที่น่าตกใจคือแนวโน้มด้านความรุนแรงขึ้น
กรณี ร้ายแรงสุดถึงขั้นลุกลามจากเหตุวิวาทยกพวกตะลุมบอน เป็นการก่อเหตุฆาตกรรมคู่อริอย่างอุกอาจ หลังเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแทบทุกครั้ง สิ่งที่ตามมา คือ เสียงเรียกร้องจากสังคมให้ลงโทษสถาบันที่ก่อเหตุอย่างเด็ดขาด เช่นล่าสุด ตามที่สวนดุสิตโพลระบุผลสำรวจความคิดเห็น 63.55% ระบุว่าควรลงโทษโรงเรียนหรือสถานศึกษา โดยการยุบหรือสั่งปิดชั่วคราว ในกรณีที่ก่อเหตุซ้ำซาก
อย่างไรก็ดี การปิดสถาบันที่ก่อเหตุ หากนับจากอดีตที่ผ่านมา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ง่ายนัก ส่วนใหญ่แค่ปิดชั่วคราวเพียงไม่กี่วัน
จอมพงศ์ มงคลวนิช นายกสมาคมวิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษาเอกชนแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หากปิดที่ใดที่หนึ่งเด็กที่มีปัญหาก็จะแค่ย้ายที่เรียน
"เด็กอาชีวะทั่วประเทศ ประมาณ 4 แสนคน กำลังแบกปัญหาที่เด็กกลุ่มน้อย หลักประมาณ1,000 คนก่อขึ้น จึงควรมีมาตรการที่แก้ปัญหาให้เด็กกลุ่มนี้เข็ดหลาบ ปัจจุบันการลงโทษเด็กตามกฎหมายอ่อนมาก เมื่อเด็กถูกให้ออกจากสถานศึกษาแห่งหนึ่งจะย้ายไปสมัครเรียนที่อื่นและก่อเหตุต่อได้ การแก้ปัญหาเด็กทะเลาะวิวาทจะต้องทำหลายมาตรการพร้อมๆ กัน"จอมพงศ์กล่าว
ชัยพฤกษ์ เสรีรักษ์ เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (กอศ.) กล่าวว่า ที่ผ่านมา หลายสถาบันไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องนี้ อาจารย์ผู้สอนของหลายสถาบันต่างต้องแบกทั้งภาระการสอน และทำหน้าที่เฝ้าระวังเหตุ บางแห่งถึงกับต้องจ้างทีมเฉพาะออกไปดูแลนักศึกษา สถาบันบางแห่งเช่น ปทุมวัน ต้องกำหนดมาตรการไม่รับนักศึกษาที่มีภูมิลำเนาในกรุงเทพเลย ปัญหาจึงลดลงไปมากแต่ก็ไม่หมดไป และหากดูที่ตัวเด็กแต่ละที่ เราก็จะได้ยินว่ามีไม่น้อยที่ต้องพกอาวุธเพื่อเอาตัวรอดจากปัญหานี้ เราเคยไปดูงานในหลายประเทศ พบว่า ที่อื่นอาจจะมีปัญหาใช้ความรุนแรงแต่ก็เป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่สถาบันกับสถาบัน เราจึงมีปัญหาเฉพาะตัว ที่ต้องตั้งคำถาม ว่า เพียงมาตรการเดียวจะแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่
ต้องติดตามดูว่า มาตรการเอาจริงของ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ที่จะแก้ปัญหานักเรียนนักเลงครั้งนี้ ถึงขั้นออกประกาศิตเด็ดขาด จะสำเร็จแค่ไหน เพราะถ้ายุคนี้ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ไม่สามารถแก้ได้ ก็คงต้องรอไปอีกนาน
ภาพประกอบข่าวจากแฟ้มภาพ


