ภิกษุ 2 สหาย
ท่านผู้อ่านที่เคารพ อาทิตย์นี้ MQ ขอนำเรื่องของเพื่อนมาคุยกัน คนเราย่อมมีเพื่อนทั้งนั้น
ท่านผู้อ่านที่เคารพ อาทิตย์นี้ MQ ขอนำเรื่องของเพื่อนมาคุยกัน คนเราย่อมมีเพื่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระหรือเป็นโยม เพื่อนหรือจะเรียกว่าสหายก็ได้นั้น แม้ว่าจะไปไหนด้วยกัน ทำอะไรด้วยกัน หรือรู้จักกันมานาน แต่ก็ยังมีความแตกต่างกัน ดังเช่นในธรรมบท ปรากฏเรื่องภิกษุ 2 สหาย ความโดยย่อมีดังนี้
ครั้งนั้น พระพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุ 2 รูป ซึ่งเป็นสหายกัน แต่มีปฏิปทาที่ต่างกัน ภิกษุทั้งสองรูปนั้นได้เรียนกัมมัฏฐานในสำนักของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เข้าไปยังวิหารซึ่งตั้งอยู่ในป่า เมื่อเข้าไปสู่วิหารในป่าแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้เก็บฟืนมาแต่เวลากลางวัน เมื่อค่ำลงก็นั่งผิงไฟสนทนากับพวกภิกษุหนุ่มและสามเณรอยู่ตอนเวลาปฐมยาม ภิกษุผู้เป็นสหาย เป็นผู้ไม่ประมาท ปฏิบัติสมณธรรมอยู่แล้ว ตักเตือนภิกษุรูปนั้นว่า
“ผู้มีอายุ ท่านอย่าทำอย่างนั้น เพราะอบาย 4 (นรก เปรต อสูรกาย และเดรัจฉานภูมิ) เป็นเช่นเรือนที่เป็นที่นอนแห่งชนผู้ประมาทแล้ว ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายอันบุคคลผู้โอ้อวด ไม่อาจให้ทรงยินดีได้”
ภิกษุสหายผู้ประมาท กลับไม่ฟังคำตักเตือนของภิกษุรูปนั้น เมื่อเพื่อนภิกษุไม่สนใจในการตักเตือนของสหาย ภิกษุผู้เตือนจึงคิดว่า “ภิกษุนี้ไม่เชื่อถ้อยคำ” จึงไม่ปรารถนาจะตักเตือนอีก ภิกษุรูปนั้นจึงเป็นผู้ไม่ประมาท ได้ทำสมณธรรมต่อไป ฝ่ายพระภิกษุสหายผู้เกียจคร้าน นั่งผิงไฟในปฐมยามแล้ว ในเวลาที่ภิกษุนอกนี้เดินจงกรมแล้วเข้าไปสู่ห้อง จึงเข้าไปพูดว่า
“ท่านผู้เกียจคร้านมาก ท่านเข้าไปสู่ป่า เพื่อต้องการหลับนอน หรืออันบุคคลเรียนกัมมัฏฐานในสำนักพระพุทธเจ้า แล้วลุกขึ้นทำสมณธรรมตลอดทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ควรหรือ?”
ดังนี้แล้ว ก็เข้าไปยังที่อยู่ของตนแล้วนอนหลับ ฝ่ายภิกษุนอกนี้ พักผ่อนในมัชฌิมยามแล้ว ก็ลุกขึ้นทำสมณธรรมในปัจฉิมยาม ท่านไม่ประมาทอยู่อย่างนั้น ต่อกาลไม่นานนัก ก็บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เหลือแต่เพียงภิกษุผู้เกียจคร้าน ปล่อยให้เวลาล่วงไปด้วยความประมาทอย่างเดียว จึงไม่ได้บรรลุธรรมอะไรๆ
ภิกษุสหาย 2 รูปนั้น ออกพรรษาแล้ว ไปสู่สำนักพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงกระทำปฏิสันถารกับภิกษุ 2 รูปนั้นแล้ว ตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอไม่ประมาททำสมณธรรมกันแลหรือ? กิจแห่งบรรพชิตของพวกเธอถึงที่สุดแล้ว แลหรือ?” ภิกษุผู้ประมาทได้กราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความไม่ประมาทของภิกษุนั่น จักมีแต่ที่ไหน? ตั้งแต่เวลาไป เธอนอนหลับให้เวลาล่วงไปแล้ว”
พระศาสดา ตรัสถามว่า “ก็เธอเล่า? ภิกษุ” ภิกษุรูปเกียจคร้านทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เก็บฟืนมาต่อเวลายังวัน จัดเตาไฟแล้ว นั่งผิงไฟอยู่ตลอดปฐมยามไม่หลับนอน ให้เวลาล่วงไปแล้ว” ลำดับนั้น พระศาสดาได้ตรัสกับท่านว่า “เธอประมาทแล้ว ปล่อยเวลาล่วงไปเปล่า ยังมาพูดว่า ‘ตัวไม่ประมาท’ และทำผู้ไม่ประมาทให้เป็นผู้ประมาท เธอเป็นเหมือนม้าตัวทุรพล ขาดเชาว์ แล้วในสำนักแห่งบุตรของเรา ส่วนบุตรของเรานี่ เป็นเหมือนม้าที่มีเชาว์เร็วในสำนักของเธอ”
ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาว่า
ผู้มีปัญญาดี เมื่อชนทั้งหลายประมาทแล้ว ไม่ประมาท, เมื่อชนทั้งหลายหลับแล้ว ตื่นอยู่โดยมาก ย่อมละบุคคล ผู้มีปัญญาทรามไปเสีย ดุจม้าตัวฝีเท้าเร็ว ละทิ้ง (ม้า) ตัวหากำลังมิได้ไปฉะนั้น
จะเห็นได้ว่า ภิกษุสหายผู้ประมาทนั้นนอกจากจะไม่ฟังคำเตือนของเพื่อนภิกษุผู้ปรารถนาดี แล้วยังว่าผู้อื่นอีกด้วย ทั้งยังพูดอวดตนต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
อรรถกถาได้อธิบายไว้ว่า ผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท นั้นหมายถึงพระอรหันต์ เพราะความเป็นผู้ถึงความไพบูลย์แห่งสติ เมื่อสัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่แล้วในการปล่อยสติ ชื่อว่า ประพฤติหลับอยู่ทุกอิริยาบถทีเดียว เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องตื่น คือ สติ จะเห็นได้ว่า ภิกษุสหายผู้ขี้เกียจ แม้ไม่หลับ นั่งผิงไฟคุยอยู่ ก็เสมือนเป็นผู้หลับเพราะไม่มีสติ
ผู้ดำรงอยู่ในธรรมเป็นเครื่องตื่น คือความไพบูลย์แห่งสติเป็นอันมาก ดุจม้าสินธพอาชาไนยตัวมีเชาวน์เร็ว วิ่งทิ้งม้าตัวมีกำลังทราม มีเชาวน์ขาดแล้ว โดยความเป็นม้ามีเท้าด้วนไปฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญายอดเยี่ยม ย่อมละบุคคลผู้เหล่านั้น (ผู้ทรามปัญญาและขาดสติ) ไป ด้วย “อาคม” คือ ปริยัติบ้าง ด้วย “อธิคม” คือ การบรรลุมรรคผลบ้าง
เมื่อคนมีปัญญาทึบพยายามเรียนพระสูตร สูตรหนึ่งอยู่นั้นแล ผู้มีปัญญาดีย่อมเรียนได้เร็วกว่า เรียกว่า ย่อมละไปด้วยอาคม คือ ปริยัติ ส่วนเมื่อคนมีปัญญาทึบ กำลังพยายามทำที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันอยู่นั่นแลและเรียนกัมมัฏฐานสาธยายอยู่นั่นแล แม้ในกาลเป็นส่วนเบื้องต้น บุคคลผู้มีปัญญาดี เข้าไปสู่ที่พักกลางคืนหรือที่พักกลางวันที่ผู้อื่นทำไว้ พิจารณากัมมัฏฐานอยู่ ยังสรรพกิเลสให้สิ้นไป ทำโลกุตรธรรม 9 (คือ มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1) ประการ ให้อยู่ในเงื้อมมือได้ ผู้มีปัญญาดีย่อมละไปได้ด้วยอธิคม คือ การบรรลุมรรคผล อย่างนี้
ผู้มีปัญญาดีละคือทิ้งคนมีปัญญาทึบนั้นไว้ในวัฏฏะ เพราะเขาถอนตนออกจากวัฏฏะ (โดยการบรรลุพระอรหัต) ไปโดยแท้แล
ในกาลจบคาถา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น... นับว่าเรื่องราวของภิกษุ 2 สหาย มีแง่คิดและมีประโยชน์อย่างยิ่งแล


