posttoday

รำลึกความหลังถึง ถวัลย์ ดัชนี

14 กันยายน 2557

เมื่อเขียนถึง ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ยิ่งใหญ่ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้มีผู้อ่านจำนวนมากติดต่อเข้ามา

เมื่อเขียนถึง ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติผู้ยิ่งใหญ่ไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้มีผู้อ่านจำนวนมากติดต่อเข้ามาว่าอยากอ่านเรื่องราวชีวิตของถวัลย์ในแง่มุมที่ผู้เขียนรู้จักให้มากกว่านี้ ก็เลยจะต้องเขียนถึง ถวัลย์ ดัชนี อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อผู้เขียนรู้จักกับ ถวัลย์ ดัชนี ในปี 2512ผู้เขียนยังไม่ได้เริ่มต้นอาชีพเป็นนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ เป็นเพียงนักเขียนอิสระที่ส่งงานเขียนเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม ประเพณีประวัติศาสตร์ โบราณคดี ไปลงตามหนังสือพิมพ์และนิตยสารต่างๆ บ้างเท่านั้น แต่งานหลักจริงๆ ของผู้เขียนในเวลานั้นก็คือการไปช่วยงานเพื่อนรุ่นพี่เซนต์โยเซฟคอนเวนต์ คุณเพลินพิศ แพร่พานิช ลูกสาวคนเก่งของคุณจิตต์ แพร่พานิช แห่งสำนักพิมพ์แพร่พิทยา ที่ผู้เขียนรักและนับถือมาตลอดชีวิต

การที่ผู้เขียนซึ่งอายุยังน้อยสามารถพา 3 ศิลปินรุ่นใหม่ไฟแรงในขณะนั้นไปแสดงผลงานที่โรงแรมชั้นหนึ่งซึ่งสร้างใหม่ๆ ของเมืองขอนแก่น และเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นให้มาเป็นประธานเปิดนิทรรศการงานของ 3 ศิลปินได้สำเร็จนั้น ก็เป็นเพราะคุณสุพจน์ โฆษะวิสุทธิ์ เจ้าของโรงแรมและคุณช่วย นนทนาการ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น รู้ว่าผู้เขียนเป็นลูกเต้าเหล่าใครใน จ.ขอนแก่น ไม่ใช่ความเก่งกาจสามารถของผู้เขียนแต่อย่างใด

ในเวลานั้นการแสดงภาพเขียนของศิลปินยังเป็นสิ่งแปลกใหม่มากสำหรับเมืองขอนแก่น เราใช้รถ 6 ล้อ จากโรงงานอัดปอของพ่อผู้เขียนขนรูปพี่หวัน พี่เทือง และภาพ cut word ของพี่ประพันธ์ รวมทั้งสิ้นเกือบ 30 รูป พร้อมอุปกรณ์การติดตั้งรูปกับคนงานที่บ้านของผู้เขียนอีก 2 คน ไปติดตั้งเองที่โรงแรมโฆษะ ซึ่งบริการสถานที่และบริการน้ำดื่มให้เท่านั้น ทุกอย่างพวกเราต้องช่วยกันทำเองตั้งแต่เช้ายันค่ำเป็นเวลา 23 วัน กว่าจะติดตั้งเสร็จ จนพี่หวันบ่นอุบด้วยความเหนื่อยอ่อนและขำขันว่า อยากจะเปลี่ยนชื่อโรงแรมโฆษะให้เป็นโรงแรมโทสะเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

วันเปิดงานแสดงนอกจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นมาเป็นประธานเปิดงานแล้ว ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัด พ่อค้า ประชาชน อาจารย์ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นไปร่วมงานมากมาย ในครั้งนั้นมีผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย สาขาขอนแก่น เป็นผู้หญิงเก่งชื่อ ไขนภา โชติกเสถียร รับเชิญไปร่วมงานด้วย ระหว่างที่รอประธานเปิดงานอยู่มีนักศึกษาจากคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้ยินเพื่อนๆ เรียกว่าชัก (สมศักดิ์ วิรุฬผล) ซึ่งยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครในงานนี้ แอบวิจารณ์รูปเขียนของพี่หวันว่า “ใช้สีดิบ แต่รูปมีพลังมาก” พี่หวันเจ้าของรูปยืนอยู่ข้างหลังเลยถามว่าพวกคุณเรียนอะไรกันมา พอบอกว่าเรียนวิศวะ พี่หวันก็ชอบใจใหญ่ว่าวิจารณ์ได้ถูกใจ ก็เลยคุยกันอย่างถูกคอสนุกสนานมาก

หลังเปิดนิทรรศการแล้ว ท่านผู้ว่าก็เดินมาทักทายศิลปิน ท่านผู้ว่าฯ ถามพี่หวันว่า “พวกคุณเป็นศิลปินกลุ่มไหน” พี่หวันตอบอย่างหน้าตาเฉยว่า “กลุ่มซิงกาตูนิสต์ครับ ชื่อกลุ่มมาจากภาษาฮิบรูครับ” ท่านผู้ว่าฯ มองหน้าศิลปินทั้ง 3 คน แล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่น

รำลึกความหลังถึง ถวัลย์ ดัชนี

 

ในงานเปิดนิทรรศการพี่หวันอยากสร้างบรรยากาศความประทับใจ ตอนนั้นกวีนิพนธ์ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ชื่อลำเนาภูกระดึง เพิ่งจะตีพิมพ์ออกมาใหม่ๆ โดยสำนักพิมพ์ศึกษิตสยามพี่หวันนำบทกวีที่เกี่ยวกับเมืองขอนแก่นในหนังสือเล่มนั้นไปร่ายสดในงาน ความว่า

ถึงขอนแก่นสวยแสนแดนตึกแถว

ล้วนเป็นแนวคอนกรีตกรีดสวรรค์

สับสนป่ารถยนต์ทั้งนั้น

มนุษย์ผสมพันธุ์กะเครื่องยนต์

ร้านค้าค้าสวะขยะโลก

ลมโบกฝุ่นฟุ้งทุกแห่งหน

หนาตานารีที่ซุกซน

ขายตนกะนิโกรหรั่งหลั่งกาม

หลายเบียร์บาร์เหล้ายาปลาปิ้ง

ทุกสิ่งพร้อมพรั่งทั้งของห้าม

เมียเช่าบ้านเช่าราคางาม

ล้ำสามโลกที่สุดศรีวิไล

เบื่อชื่นชมมารยานาคร

ขอนแก่นลูกออกบางกอกใหม่

บางกอกออกผลล้นเมืองไทย

แลนด์ใหญ่แลนด์น้อยห้าร้อยเอย

พอพี่หวันร่ายบทกวีนี้จบ ท่านผู้ว่าฯ ช่วย นนทนาคร ท่านก็กล่าวว่าที่ร่ายมาทั้งหมดนั้นมันอุดรฯ นะครับไม่ใช่ขอนแก่น ขอนแก่นไม่มีบาร์ ไม่มีจีไอ ขอนแก่นเป็นเมืองมหาวิทยาลัย มีพระธาตุขามแก่น มีบึงแก่นนคร พอโดนท่านผู้ว่าฯ แย้งพี่หวันก็แก้ทันใดว่า ถ้างั้นสงสัยท่านอังคารท่านคงจะเมาแล้วหลับมาในรถ พอรุ่งเช้ายังไม่สร่างเมาเลยสับสนไม่รู้ว่าเป็นอุดรฯ หรือขอนแก่น (ฮา) ท่านผู้ว่าฯ ขอนแก่นเลยเชิญชวนให้พี่หวันและศิลปินอีก 2 คน ไปไหว้พระธาตุขามแก่น ไปชมมหาวิทยาลัยขอนแก่นและบึงแก่นนครแล้วไปเที่ยวอุดร เพราะท่านผู้ว่าฯ อยากเห็นภาพเมืองขอนแก่นและเมืองอุดรฯ ในสายตาของศิลปินอย่างพี่หวัน ทั้งยังอยากจะนัดไปคุยกันอีกที่จวนของท่านผู้ว่าฯ

หลังจากประธานเปิดงานแสดงศิลปะกลับไป พวกนักศึกษาวิศวะที่ไปร่วมในงาน ดูเหมือนจะเป็นสมศักดิ์ วิรุฬผล ถามพี่หวันว่า กลุ่มศิลปินซิงกาตูนิสต์มีจริงหรือ? พี่หวันหัวเราะเสียงดังอย่างครื้นเครง ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องอำกันเล่นอีกตามเคย

เมื่อกลับถึงบ้านในโรงงานอัดปอที่น้ำพอง พี่หวันบอกผู้เขียนให้ไปบอกแม่ของผู้เขียนว่าไม่ต้องเป็นภาระทำอาหารมาส่งให้กินทุกมื้อแล้ว เพราะต่อไปนี้จะมีอาจารย์ นักศึกษา จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และนายช่างศูนย์สร้างทางขอนแก่นตามมาคุยที่บ้าน จะมาเล่นดนตรีกันด้วย คงมากันหลายคน ให้หาอาหารมากินกันเอง เพราะบางคนพูดว่าถ้าดึกจะนอนค้างที่บ้านกับพี่หวันเลย ไม่ต้องให้เป็นภาระของผู้เขียนกับแม่ เวลาเช้าก็กินปาท่องโก๋กับกาแฟและข้าวโพดข้าวเหนียวต้ม แล้วก็เข้าเมืองไปอยู่ในงานนิทรรศการแต่เช้า เนื่องจากศิลปินทั้ง 3 คน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และละเว้นอบายมุขทุกอย่าง แม่ของผู้เขียนจึงเตรียมเพียงน้ำชา กาแฟ น้ำถั่วเหลือง (ไวตามิ้ลค์) และน้ำหวานประเภทน้ำเขียวน้ำแดง กับกระติกน้ำร้อนน้ำแข็งไว้ให้พร้อมเท่านั้น

เมื่อศิลปินทั้ง 3 ได้ไปไหว้พระธาตุขามแก่นไปเที่ยวเมืองอุดรฯขอนแก่นมาทุกซอกทุกมุมแล้ว พี่หวันก็มานั่งวาดรูปเมืองขอนแก่นเมืองอุดรฯ ตามคำขอของท่านผู้ว่าฯ พี่หวันเขียนรูปด้วยปากกาหมึกแห้งสีดำบนกระดาษวาดเขียนขนาด A4 รูปเมืองอุดรฯ และขอนแก่นพี่หวันเขียนเสร็จในคืนเดียว โดยรูปเมืองอุดรฯ พี่หวันเขียนเป็นรูปผู้หญิงแขวนอยู่บนไม้แขวนผ้าเรียงกันอยู่ มีหนอนและแมลงต่างๆ น่าเกลียดน่ากลัวไชชอนไต่ตอมเต็มไปหมด ส่วนรูปเมืองขอนแก่นเป็นรูปหญิงสาวนุ่งซิ่นแบบลาวมุ่นมวยผมนั่งอยู่ริมบึงแก่นนคร เงาในน้ำของเธอเป็นดอกบัว เมื่อผู้เขียนเห็นรูปเมืองขอนแก่นผู้เขียนก็บอกกับพี่หวันว่า “พี่หวัน บึงแก่นนครพี่ก็เห็นใช่มั้ยว่ามันเป็นบึงดินดำ น้ำมันไม่ใสถึงขนาดจะเห็นเงาใต้น้ำ และไม่เคยเห็นบึงแก่นนครมีบัวเลย” พี่หวันทำหน้าจริงจังใส่ผู้เขียนแล้วพูดว่า “ช่างไม่เข้าใจจินตนาการของศิลปินเอาเสียเลย คนอะไร บอกอะไร พูดอะไรพุทธิปัญญาก็ไม่เคยพวยพุ่ง” พูดแล้วพี่หวันก็หัวเราะ และว่า “แต่พี่เห็นอะไรในบึงแก่นนครเหมือนกันนะ พี่เห็นสวะและผักตบชวา (ฮา)”

วันต่อมา ท่านผู้ว่าฯ ขอนแก่นเชิญศิลปินทั้ง 3 ไปพบที่จวน มีผู้เขียนและนักศึกษาวิศวะ เช่น ธานินทร์ บำรุงทรัพย์ สิทธิพร ศรีสง่า สมศักดิ์ วิรุฬผล, พิลาศพงษ์ ทรัพย์เสริมศรี และอีกหลายคนตามไปเป็นหางเครื่อง ท่านผู้ว่าฯ ชอบรูปที่พี่หวันเขียนทั้งสองรูปจึงขอซื้อ พี่หวันคิดราคารูปละ 2,000 บาท เมื่อออกจากจวนผู้ว่าฯ แล้วพี่หวันก็พูดอย่างอารมณ์ดีกับพวกเราว่า “ต้องไปเลี้ยงฉลองกันหน่อย เขียนรูปมาหลายปีเพิ่งจะหลอกขายคนไทยได้วันนี้เอง” การเลี้ยงอาหารค่ำวันนั้นเรามีอาจารย์สาวจากคณะวิศวะขอนแก่นชื่ออาจารย์แมว (มัลลิกา ทองเดชศรี) ไปร่วมด้วย อาจารย์แมวเลยกลายเป็นสมาชิกประจำที่ตามไปคุยไปเล่นกีตาร์ ไปร้องเพลงกับพี่หวันที่บ้านพักที่น้ำพองอีกคนหนึ่ง

ศิลปินทั้ง 3 จัดแสดงงานศิลปะอยู่ที่โรงแรมโฆษะขอนแก่นเป็นเวลา 1 เดือน แต่ยังสมัครใจที่จะอยู่ต่อที่บ้านผู้เขียนที่น้ำพองอีกประมาณเดือนเศษ ตลอดเวลาที่ได้รู้จักคลุกคลีกับพี่หวัน ผู้เขียนได้รับความรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างมากมาย ผู้เขียนรู้ว่าสวรรค์ในพระพุทธศาสนานิกายต่างๆ มีกี่ชั้น นรกมีกี่ชั้นก็จากความรู้ที่พี่หวันถ่ายทอดให้ วรรณกรรมในยุคใดสมัยใด ใครคือผู้แต่ง มีเนื้อหาสาระอย่างไรพี่หวันรู้หมด แม้แต่พระไตรปิฎกบางหน้าที่พี่หวันประทับใจในเนื้อหา พี่หวันจะจำได้ไม่ผิดเพี้ยนเลย แล้วพี่หวันยังมีพลังเก่งกล้า เฉลียวฉลาดล้ำลึกในวิชาความรู้สาขาต่างๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งทางเอเชียและตะวันตก

ตลอดระยะเวลา 2 เดือนกว่าๆ ที่พี่หวันพักอยู่ที่บ้านของผู้เขียน พี่หวันได้ไปพูดและไปอภิปรายให้ความรู้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นและสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียงหลายแห่ง ทั้งยังมีเวลาได้รังสรรค์งานศิลปะลายเส้นสีดำจากปากกาหมึกแห้งบนกระดาษวาดเขียนขนาด A4 และขนาด 5x10 อีกมากมาย ที่โรงงานอัดปอของพ่อผู้เขียนจะมีรถขนปอวิ่งเข้าวิ่งออกในโรงงานวันละหลายเที่ยว บางทีรถขนปอเหล่านั้นก็เหยียบบรรดาอึ่งอ่าง คางคก กิ้งกือ ไส้เดือน กบเขียด ที่วิ่งอยู่เต็มบริเวณโรงงานอันกว้างใหญ่ เมื่อพี่หวันเดินลงจากบ้านไปเที่ยวดูทั่วบริเวณโรงงาน แล้วพี่หวันจึงขอให้คนงานช่วยกันเก็บซากสัตว์ต่างๆ ที่ถูกรถขนปอเหยียบเอาไปตากแห้งให้พี่หวัน เมื่อซากสัตว์แห้งดีแล้วก็เอามาส่งให้ พี่หวันก็ให้เงินค่าตอบแทนแก่คนงานไปตามสมควร เมื่อได้ซากสัตว์มาแล้วพี่หวันก็มานั่งพินิจพิจารณาดูสรีระต่างๆ ของซากสัตว์เหล่านั้นอย่างละเอียด ดังนั้นรูปลายเส้นสีดำบนกระดาษวาดเขียนในยุคนั้นของพี่หวันจำนวนนับร้อยรูปจึงเต็มไปด้วยสัตว์ชนิดต่างๆ อันหลากหลายที่พี่หวันพินิจพิจารณาดูซากของมันอยู่ทุกวันนั่นเอง

ข่าวล่าสุด

“วราวุธ” ไหว้อนุสาวรีย์นายบรรหาร ก่อนไปสมัคร ภท.พรุ่งนี้