ความพร้อมเพรียงของหมู่คณะทำให้เกิดสุข
ช่วงประมาณปี 25222524 มีตำรวจพลร่มจากค่ายนเรศวร อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปตั้งหน่วยปฏิบัติการ
ช่วงประมาณปี 25222524 มีตำรวจพลร่มจากค่ายนเรศวร อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปตั้งหน่วยปฏิบัติการในบริเวณไร่ชาวบ้านในหมู่บ้านธรรมรัตน์ หมู่ 5 ต.ทองมงคล อ.บางสะพาน ห่างจากถนนเพชรเกษม (สมัยนั้นถนนเพชรเกษมยังเป็นถนน 2 เลน) เข้าไปในซอยถนนลูกรังแดงประมาณ 500 เมตร
ครั้งนั้นหน่วยปฏิบัติการดังกล่าวได้ร่วมกับชาวบ้านธรรมรัตน์สร้างศาลาพักริมทางหลวง ชื่อ “ศาลาร่วมใจ” ที่ปากซอยเข้าในล็อกในเขตหมู่บ้านธรรมรัตน์ หมู่ 5 ต.ทองมงคล สร้างเสร็จมีงานฉลองศาลาหลังใหม่ กลางคืนมีหนังกลางแปลงฉายในบริเวณลานหญ้า
ศาลาหลังดังกล่าวใช้เป็นที่พักพิง หลบแดดหลบฝนของผู้คนที่สัญจรผ่าน รวมทั้งเป็นที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ของนักเรียนที่มารอรถไปโรงเรียนนอกหมู่บ้าน ตั้งแต่ก่อสร้างมานับถึงปี 2557 “ศาลาร่วมใจ” มีอายุกว่า 30 ปี จึงมีสภาพชำรุดตามกาลเวลา เหลือสภาพเพียงเพิงสังกะสี เนื่องจากศาลาหลังเดิมได้พังลง ชาวบ้านช่วยกันนำสังกะสีมุงเป็นเพิงขึ้นมา พอได้อาศัยกันมาตามสภาพ
ช่วงปี 2556 ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ราคายางพาราตกต่ำเหลือกิโลกรัมละไม่ถึง 60 บาท ชาวสวนยางชุมนุมประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาราคายางพาราในหลายพื้นที่หลายจังหวัด ในเขต จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องราคายางพาราที่หน้าโรงพัก ธรรมรัตน์ ต.ทองมงคล อ.บางสะพาน เมื่อวันที่ 5 ก.ย. 2556 และหน้าสถานีอนามัยศรีนคร ต.ช้างแรก อ.บางสะพานน้อย ระหว่างวันที่ 26 ต.ค.13 พ.ย. 2556 จนเกษตรกรถูกดำเนินคดีอาญาหลายคดี
ที่ร้ายแรงคือ เกษตรกรที่ออกมาเรียกร้องสิทธิของตัวเองถูกอาวุธสงครามถล่มบ้านช่วงตี 2 กว่าของคืนวันที่ 1 พ.ย. 2556 ถึง 4 หลังในเวลาใกล้เคียงกัน นับว่าคุกคามชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ทรัพย์สิน และความเป็นอยู่ของเกษตรกรเป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่บ้าน 3 หลังที่ถูกถล่มอยู่ในเขตประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจตราโดยรอบ และที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ หนึ่งในบ้านที่ถูกถล่มด้วยอาวุธสงครามอยู่ใกล้ด่านตำรวจที่คอยตรวจตราไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าออกเพียงประมาณ 150 เมตร!
นอกจากที่ทำร้ายจิตใจแล้ว สิ่งที่ยังคงค้างคาใจเกษตรกรมากที่สุดคือ จนถึงบัดนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่สามารถติดตามคดีหาพยานหลักฐานหรือตัวผู้ร้ายมาลงโทษได้แม้แต่คนเดียว!! จนเป็นที่เข้าใจกันเองของเกษตรกรว่าขบวนการผู้บงการและผู้ลงมือปฏิบัติการดังกล่าวคือใคร และเป็นผลให้หาตัวผู้ร้ายมาลงโทษไม่ได้!!
สำหรับคดีความการชุมนุมหน้าโรงพักธรรมรัตน์ยุติแล้ว ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้นำคดีเข้าโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ยเทิดไท้ 82 พรรษามหาราชินี” และโครงการสมานฉันท์และสันติวิธี ศาลมีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2557
“จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยกระทำใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย แม้ต่อมาจะเป็นการกระทำที่ล่วงล้ำหรือกระทบสิทธิของบุคคลอื่นอยู่บ้าง อันเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดี แต่การกระทำของจำเลยเป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อชุมชนหรือสังคมโดยส่วนรวม มิใช่เป็นการใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อผลประโยชน์ของจำเลยเอง ครั้นเมื่อเข้าสู่กระบวนการสมานฉันท์และสันติวิธีแล้ว จำเลยสำนึกในการกระทำความผิด เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 3 ปี ค่าปรับให้จ่ายตามกฎหมายกำหนด”
ส่วนคดีชุมนุมหน้าสถานีอนามัยศรีนคร ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างดำเนินคดี
กลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ปรารภเหตุจากการต่อสู้เรียกร้องจนตกเป็นจำเลยในคดีความ และต้องเสียค่าปรับดังกล่าว จึงได้จัดงานเลี้ยงน้ำชา เพื่อจัดหาทุนทรัพย์เป็นค่าปรับช่วยเหลือผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ณ สี่แยกในล็อค ต.ทองมงคล อ.บางสะพาน ระหว่างวันที่ 56 ก.ค. 2557 รวบรวมเงินบริจาคจากชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ทหารที่มาสังเกตการณ์ได้จำนวนทั้งสิ้น 315,550 บาท (สามแสนหนึ่งหมื่นห้าพันห้าร้อยห้าสิบบาทถ้วน) และได้นำเงินดังกล่าวไปใช้ในการชำระค่าปรับในชั้นศาลให้กับผู้ต้องหาทั้ง 22 คน เป็นเงินรวมกันทั้งหมด 99,500 บาท (เก้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยบาทถ้วน)
ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันเกิดจากโครงการ “ร่วมใจไกล่เกลี่ยเทิดไท้ 82 พรรษามหาราชินี” คณะกรรมการเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงมีมติให้นำเงินส่วนหนึ่งนอกเหนือจากการชำระค่าปรับในศาลไปใช้ในการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยจัดสร้างศาลาหลังใหม่ขึ้นทดแทนศาลาหลังเก่าที่ชำรุด ทำด้วยวัสดุเหล็กผสมปูน มีขนาดความกว้างยาว 4X4 เมตร สูง 4.50 เมตร และตั้งชื่อศาลาว่า “ศาลาเฉลิมพระเกียรติเทิดไท้ 82 พรรษามหาราชินี 12 สิงหาคม 2557” พร้อมทั้งได้ดำเนินการจัดซื้อสิ่งของวัสดุครุภัณฑ์มอบให้กับสถานศึกษา โรงพยาบาล สถานีอนามัย และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในเขต อ.บางสะพาน และ อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์
เมื่อศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ อันเกิดจากทรัพย์ที่สมาชิกชุมชนร่วมกันบริจาคสำเร็จเป็นศาลาพักริมทางหลวงสำหรับสาธารณชน กลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จึงร่วมกันจัดงานฉลองศาลาสาธารณะหลังใหม่ขึ้นในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ 12 ส.ค. 2557 และเชิญชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง หน่วยงานราชการในพื้นที่มาร่วมงาน ซึ่งในภาคกลางวันมีการทำบุญเลี้ยงพระ การบริการตรวจสุขภาพฟรีจากหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของโรงพยาบาลบางสะพาน ส่วนภาคกลางคืนมีการจุดเทียนชัยถวายพระพร และฉายภาพยนตร์ (หนังกลางแปลง)
กรณีการสร้างศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ นี้น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างของชุมชนเข้มแข็งตัวอย่างหนึ่ง ด้วยกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในการก่อสร้างช่วยกันคนละไม้ละมือตามทักษะและความสามารถของแต่ละคน เช่น ช่างโยธา ช่างไม้ ช่างปูน ช่างสี ช่างแกะ ฯลฯ และใช้เวลาก่อสร้างเพียงสัปดาห์เดียว ระดมกันทั้งกำลังทรัพย์ สิ่งของ อุปกรณ์ ออกแบบ ออกความคิด ลงแรง ในระหว่างการก่อสร้างนำข้าวปลาอาหาร ผลไม้ ขนม เครื่องดื่มไปสนับสนุน แวะไปให้กำลังใจ นำต้นไม้มาแต่งภูมิทัศน์ ฯลฯ จน “ศาลาเฉลิมพระเกียรติเทิดไท้ 82 พรรษามหาราชินี 12 สิงหาคม 2557” สำเร็จสมบูรณ์ และเป็นเครื่องหมายแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสามัคคีกลมเกลียวของชุมชน
ศาลาเฉลิมพระเกียรติฯ หลังนี้เป็นเครื่องหมายแสดงออกที่ทำให้มั่นใจได้ว่า ตราบใดที่คนไทยมีจุดรวมใจที่สถาบันหลักของชาติ มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน และไม่ทอดทิ้งกันแม้ในยามมีทุกข์ภัยเบียดเบียน ชุมชนตลอดถึงประเทศไทยของเราจะพัฒนาไปไม่หยุดยั้งและไม่น้อยหน้าใครแน่นอน


