เปิดใจมือปราบเจ้าพ่อป่าตองพล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์
“นักท่องเที่ยวต่างชาติถูกแท็กซี่ภูเก็ตทำร้ายเผยแพร่ในเว็บไซต์ในโซเชียลมีเดียเป็นข่าวเสียหายไปทั่วโลก
โดย...ทีมข่าวภูมิภาคโพสต์ทูเดย์
“นักท่องเที่ยวต่างชาติถูกแท็กซี่ภูเก็ตทำร้ายเผยแพร่ในเว็บไซต์ในโซเชียลมีเดียเป็นข่าวเสียหายไปทั่วโลก ผู้ประกอบการซึ่งมีรถรับนักท่องเที่ยวตามโรงแรมต่างๆ แท็กซี่ไม่ยอมไปรับ พนักงานโรงแรม คนขับรถ ไกด์ ถูกข่มขู่ทำร้าย ทำลายรถยนต์เสียหาย โรงแรมบางแห่งยอมจ่ายเงินให้กับคิวแท็กซี่ รวมทั้งจ่ายเป็นรายเดือนให้กับนักการเมืองอยู่เบื้องหลัง เช่น ช่วงไฮซีซั่น 3 หมื่นบาท โลว์ซีซั่น 2 หมื่นบาท ถ้าโรงแรมไม่เชื่อฟังพวกนี้จะปิดโรงแรม ปิดสถานีตำรวจ ปิดถนน และให้ย้ายหัวหน้าสถานีตำรวจออกไปทันที ทำให้เหิมเกริม แท็กซี่ในภูเก็ตเพิ่มมากขึ้นมีเกือบ 300 คิว จำนวนรถ 4,000 คัน เป็นรถส่วนบุคคลนำมารับจ้างแท็กซี่ป้ายดำผิดกฎหมาย แต่งกายไม่สุภาพ กิริยามารยาทไม่เหมาะสม เวลาว่างจับกลุ่มเล่นการพนัน ไม่สนใจตำรวจ บางครั้งนอนเอาเท้าชี้ใส่นักท่องเที่ยวทั่วไป สร้างความทุเรศแก่นักท่องเที่ยวที่พบเห็น”
นี่คือปัญหารถแท็กซี่ป้ายดำ ที่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 ในฐานะหัวหน้าชุดเฉพาะกิจปราบปรามกลุ่มแท็กซี่ผู้มีอิทธิพลใน จ.ภูเก็ต สะท้อนออกมาให้ฟังหลังได้รับคำสั่งจาก พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ให้ตั้งชุดเฉพาะกิจปราบมาเฟียภูเก็ตเมื่อ 7 เดือนก่อนหน้านี้
แม้จะเคยรับราชการดำรงตำแหน่งใน จ.ภูเก็ต มาก่อน แต่ พล.ต.ต.ปวีณ บอกว่า ตำรวจภูเก็ตไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง จึงขอให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 แต่งตั้งตำรวจจากพื้นที่อื่นมาร่วมทำงานด้วยความสมัครใจ จนได้ทีมงาน 14 คน แบ่งการทำงานเป็นชุดสืบสวนภาคสนามกับพนักงานสอบสวนเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน
“ในช่วงแรกสืบสวนหาพยานหลักฐานค่อนข้างยากมากไม่ได้รับความเชื่อถือ ผู้เสียหายก็ไม่มั่นใจ ผู้เสียหายที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติก็เดินทางกลับไปแล้ว คงเหลือผู้ประกอบการต่างๆ ที่สุดมีบริษัทกล้ามาให้การกว่า 50 บริษัท สอบพยานกว่า 150 ปาก ส่งฐานข้อมูลคิวแท็กซี่ทั้งหมดในภูเก็ตทุกคิว ภาพถ่าย ชื่อ ที่อยู่ ให้กับชุดทำงานและเอาให้ผู้เสียหายดู ทำให้พยานกล้าชี้ภาพถ่าย”
แม้จะมีการดำเนินคดีผู้กระทำผิดหลายกลุ่ม แต่ที่ครึกโครมและถือเป็นประเด็นใหญ่คือการจับกุมเครือข่ายของ เปี่ยน กี่สิ้น อดีตนายกเทศมนตรีป่าตอง อ.กะทู้
“ป่าตองเป็นพื้นที่ที่มีอิทธิพลมาก ที่แบ่งคดีป่าตองเป็น 4 คดี ที่สำคัญคือคดีกลุ่มแท็กซี่ประท้วงปิดถนนเมื่อวันที่ 3-4 มี.ค.ที่ผ่านมา เรียกร้องให้ตำรวจ สภ.กะทู้ ปล่อยตัวกลุ่มรถตุ๊กตุ๊ก ที่ข่มขู่นักท่องเที่ยว ครั้งนั้นสร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติมหาศาล เนื่องจากกลุ่มผู้ประกอบการกำลังไปโรดโชว์ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ข่าวดังไปถึงเยอรมนี เอเยนต์ทัวร์ไม่มั่นใจ ส่งลูกทัวร์เข้ามาไม่เซ็นสัญญา สร้างความเสียหายนับพันล้านบาท”
สำหรับคดีเครือข่าย นายกฯ เปี่ยน ผู้การฯ ปวีณ บอกว่า พฤติกรรม คือ ใช้โอกาสดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองป่าตองแผ่อิทธิพลเครือข่ายโยงใยรุกล้ำที่สาธารณะ ควบคุมกิจกรรมการประกอบการหน้าชายหาด จับจองคิวแท็กซี่หน้าโรงแรมต่างๆ ตั้งบริษัทขึ้นมา แต่คนเข้ามาเป็นพนักงานต้องเอารถของตัวเองมาขับเอง แรกเข้าต้องจ่ายเงิน 5,000-4 หมื่นบาท และจ่ายรายอีกเดือนละ 450 บาท ค่าเช่าที่จอดรถวันละ 50 บาท จึงได้ขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหากลุ่มนี้ 9 คนฐานเป็นอั้งยี่
ด้านเปี่ยนและปรีชาวุฒิ หรือปราบต์ กี่สิ้น บุตรชาย ซึ่งได้รับการประกันตัวเมื่อเวลา 03.00 น.ของวันที่ 2 ก.ย. ก็เปิดบ้านแถลงข่าวทันทีในช่วงบ่ายวันเดียวกัน
นายกฯ เปี่ยน กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองท้องที่ จึงมีผู้คนเข้าออกตลอดเวลา อาจถูกมองได้ว่าเป็นอั้งยี่ ในส่วนของธุรกิจทำมาหากินด้วยความสุจริตธรรม หากหลักฐานไปถึงศาลก็พร้อมยอมรับทั้งหมด และขอต่อสู้ตามที่มีเอกสารและหลักฐานที่นำไปใช้แก้ต่าง ส่วนกรณีเอกสารที่มีการเก็บส่วยของแก้ต่างว่าไม่เคยกระทำและไม่จำเป็นต้องกระทำด้วย มีแต่จะให้บริการในการจัดการท้องถิ่น มีแต่เสียสละตั้งแต่ดำรงตำแหน่ง ไม่เคยใช้น้ำมันรถ หรือโทรศัพท์หรือเครื่องมือของหลวง
“สิ่งที่อยากบอกที่เป็นปรปักษ์กับผมนั้นมีเฉพาะการเมืองเท่านั้น” เปี่ยน กล่าว
ด้าน นิทัศน์ ประเสริฐเนติกุล ทนายความนายกฯ เปี่ยน ก็บอกว่าข้อหาที่ตั้งมานั้นเป็นการดิสเครดิตการเงิน โดยมุ่งไปที่การหารายได้ไม่ชอบ คดีนี้ตำรวจไม่ใช่ตัวจริง แต่ตัวจริงคือสรรพากรกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แต่ลักษณะเช่นนี้ไม่ควรถึง ปปง. หรือสรรพากรเพราะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อย อาจจะมีนายตำรวจบางนายรู้เห็นกับบางพรรคการเมือง จึงมุ่งเป้าตัดฐานการเงินเพื่อไม่ให้เติบโต
ด้านปรีชาวุฒิ กล่าวว่า กรณีที่มีการนำเอาเอกสารที่ระบุว่ามีการเรียกเก็บเงินนั้น ความจริงแล้วเป็นเอกสารที่ใช้ประกอบการทำวิจัย ซึ่งกำลังทำเรื่องของการจัดการตัวเองจึงต้องมีการศึกษาข้อมูลของทุกกลุ่มอาชีพ


