เจ้าจอมแว่นในรัชกาลที่ 1
เจ้าจอมมารดาแว่น หรือคุณเสือ เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
เจ้าจอมมารดาแว่น หรือคุณเสือ เป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีนามเดิมว่า อัญญานางคำแว่น เสนอพระ เป็นธิดาของพระนครศรีบริรักษ์ บรม ราชภักดีศรีศุภสุนทร (ศักดิ์ เสนอพระ) เจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก และยังมีศักดิ์เป็นปนัดดาของสมเด็จพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชที่ 3 (สมเด็จพระสิริบุญสาร) แห่งนครเวียงจันทน์ด้วย
แต่เดิมนั้นเจ้าจอมแว่นอาศัยอยู่กับครอบครัวในนครเวียงจันทน์ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่บิดารับราชการเป็นเพียเมืองแพน กรมการเมืองธุรคม หงส์สถิตย์ และได้เป็นเจ้าเมืองรัตนนครในเวลาต่อมา
ในปี 2322 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขณะดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์แล้วได้นางคำแว่นเป็นชายา และได้เชิญเสด็จพระราชบุตรในพระเจ้าสิริบุญสาร มีเจ้านันทเสน เจ้าอินทวงศ์ และเจ้าอนุวงศ์ พร้อมทั้งกวาดต้อนชาวลาวและทรัพย์สมบัติมีค่าต่างๆ กลับมายังธนบุรีด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ นั้นว่ากันว่าทรงโปรดปรานและสนิทเสน่หาสาวลาวนามว่าคำแว่นนี้เป็นอันมาก เป็นเหตุให้ทรงบาดหมางกับสมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี จนกระทั่งเสด็จเสวยราชสมบัติเป็นพระเจ้าแผ่นดิน รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แล้ว สมเด็จพระอมรินทรา บรมราชินี ก็ไม่เคยเสด็จเข้ามาประทับในพระบรมมหาราชวังร่วมกับพระบรมราชสวามีเลย หากแต่พอพระทัยประทับอยู่กับสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฉิม พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ณ พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี จะเสด็จไปเยี่ยมพระราชธิดาในพระบรมมหาราชวังบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้น ตราบจนสวรรคต เจ้าจอมแว่นหรือนางแว่นคำจึงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทตลาดรัชกาล จนชาววังทั้งหลายยกย่องให้เป็น “เจ้าคุณข้างใน” เป็นผู้ทรงอิทธิพลในราชสำนัก เป็น ที่ยกย่องนับถือของบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์โดยทั่วหน้า
จึงเห็นได้ว่า เจ้าจอมแว่นนอกจากจะเป็นที่โปรดปรานแล้ว ยังเป็นผู้มีอุปนิสัยกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ไม่เกรงกลัวผู้ใด ทั้งยังมีความสามารถพิเศษในศิลปะการพูดการเจรจาเป็นเยี่ยม โดยเฉพาะหากพระราชวงศ์พระองค์ใดมีปัญหาที่ไม่สามารถจะแก้ไขได้ หรือไม่กล้าจะกราบบังคมทูลต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ด้วยเกรงพระราชอาญา ก็มักจะไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจากเจ้าจอมแว่นแล้วจะได้รับความช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้ได้ตลอด ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงกริ้วน้อยลงและในที่สุดก็ทรงพระราชทานอภัยโทษ จึงทำให้เจ้าจอมแว่นเป็นที่รักและเกรงใจของเจ้านายชั้นสูง และข้าราชสำนักเป็นอย่างมาก ดังเช่นกรณีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ในขณะที่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงลักลอบรักกับสมเด็จพระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าบุญรอดซึ่งเป็นพระธิดาของสมเด็จพระพี่นางเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จนเกิดทรงพระครรภ์ขึ้น แต่ไม่มีผู้ใดกล้ากราบบังคมทูลนอกจากเจ้าจอมแว่น แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จะทรงกริ้วพระราชโอรสในตอนต้นถึงขนาดแยกพระเจ้าหลานเธอให้ออกไปอยู่นอกวังกับพระเชษฐา แล้วทรงลงทัณฑ์พระราชโอรสด้วยการสั่งห้ามไม่ให้ค้าขายทำราชกิจทางเรือสำเภาอยู่ระยะหนึ่ง เจ้าจอมแว่นก็ใช้ความสามารถพิเศษของตนเอง คอยทดสอบพระอารมณ์ของพระบรมราชสวามีอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งเจ้าจอมแว่นได้กราบบังคมทูลถามว่า “ราชทารกใน พระครรภ์จะเป็นเจ้าหรือไม่” เมื่อตรัสตอบว่าเป็นเจ้าฟ้าก็โล่งใจไปตามกัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จึงเสด็จไปเฝ้าสมเด็จพระบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ให้พาไปเฝ้าสมเด็จพระบรมราชชนกทูลขอให้ พ้นโทษ พระองค์จึงได้กลับไปทำราชการค้าสำเภาหลวงและทูลขอสมเด็จฯ เจ้าฟ้าบุญรอดจาก พระเชษฐามาไว้เป็นพระชายาในพระราชวังเดิม
เจ้าจอมแว่นนับเป็นบุคคลที่มีความกตัญญูรู้คุณต่อบิดาและบริวารหว่านเครือของตนเอง อย่างยิ่ง เมื่อเข้ามามีอำนาจวาสนาอยู่ในราชสำนักแล้วก็ไม่เคยลืมคุณบิดาและญาติพี่น้องได้กราบบังคมทูลพระกรุณาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ขอให้ตั้งเพียเมืองแพนผู้บิดาเป็นเจ้าเมืองขอนแก่น ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระนครศรีบริรักษ์ บรมราชภักดีศรีศุภสุนทร เจ้าเมืองขอนแก่นคนแรก ตำนานเมืองขอนแก่นจึงถือว่า “เจ้าจอมแว่น” หรือคุณเสือ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการทูลขอพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเมืองขอนแก่น หรือเมืองขามแก่น อันเป็น จ.ขอนแก่น ในปัจจุบันนี้เอง
เจ้าจอมแว่นเป็นผู้ที่มีฝีมือในการทำอาหารอย่างยอดเยี่ยม และมีปฏิภาณไหวพริบในการ ดัดแปลงสิ่งที่ต้องพระประสงค์จะเสวยแต่หาไม่ได้ เช่น เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ อยากจะเสวยไข่เหี้ยแต่ฤดูกาลนั้นหาไม่ได้ เจ้าจอมแว่นจึงคิดค้นทำขนมไข่เหี้ยขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งต่อ มาขนมชนิดนี้ก็เปลี่ยนชื่อเป็นไข่หงส์ และเมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ ให้ทำบุญใหญ่ฉลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ด้วยความที่เกรงว่ารสน้ำยาขนมจีนจะเปลี่ยนแปลงไม่คงที่คงวา แม้จะเหนื่อยสักเพียงไหน เจ้าจอมแว่นก็ต้องทำน้ำยาขนมจีนเลี้ยงพระสงฆ์แต่เพียงผู้เดียว ว่ากันว่ารสมือของเจ้าจอมแว่นในเรื่องการทำน้ำยาขนมจีนอร่อยเป็นที่หนึ่งหาใครมาเทียบได้ยากมาก
เจ้าจอมแว่นรับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ อย่างใกล้ชิดเป็นที่สนิทเสน่หาและไว้วางพระราชหฤทัยเป็นที่สุด แต่เจ้าจอมแว่นก็มิได้มีพระหน่อสืบสายสกุลแต่อย่างใด และเจ้าจอมแว่นนั้นคงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะกระทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มีสายพระโลหิตเพื่อสืบสกุลของท่าน โดยได้มีการกระทำพิธีทางศาสนาหลายอย่างหลายประการ ดังเช่นที่พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ บันทึกว่า “กระจาดคุณแว่นพระสนมเอกที่เขาเรียกกันว่าคุณเสือ แต่งเด็กศีรษะจุกเครื่องแต่งหมดจด ถวายพระเป็นสิทธิขาดทีเดียว” โดยมีความเชื่อว่าใครอยากมีลูกให้ติดกัณฑ์เทศน์กัณฑ์กุมาร แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เจ้าจอมแว่นนั้นคงอยากจะมีลูกมากเพียงไร
ดังนั้นเมื่อเจ้าจอมมารดาทองสุกถึงแก่อนิจกรรมลง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี พระราชธิดาซึ่งกำพร้ามารดาตั้งแต่อายุได้เพียง 6 พรรษา ให้อยู่ในความอภิบาลอย่างใกล้ชิดของเจ้าจอมมารดาแว่น ผู้สืบเชื้อสายชาวลาวเวียงจันทน์ เช่นเดียวกับเจ้าจอมมารดาทองสุก เจ้าจอมมารดาของสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี รวมทั้งยังเป็นผู้ถวายการอภิบาลสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศนภาลัย ที่ประสูติแต่เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี อีก 3 พระองค์ คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าอาภรณ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากลาง (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์) และสมเด็จฯ เจ้าฟ้าปิ๋วด้วย
เจ้าจอมแว่นมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีและถวายการปรนนิบัติพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ตลอดจนสิ้นรัชกาลด้วยความเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดี มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า มีอยู่คราวหนึ่งตอนใกล้สิ้นรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงสร้างพระโกศทองใหญ่ไว้สำหรับพระองค์เอง ครั้นสร้างเสร็จก็โปรดให้ยกเข้าไปตั้งถวายให้ทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทอดพระเนตรแล้วก็ไม่ตรัสให้ยกเข้าไปเก็บเข้าคลัง ให้ตั้งไว้บนพระที่นั่งอยู่หลายวัน เจ้าจอมแว่นรู้สึกไม่สบายใจเห็นเป็นลางชอบกล ก็กราบบังคมทูลว่าเป็นอัปมงคลขอให้ยกออกไปเสีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 1 ก็ตรัสตอบเจ้าจอมแว่นว่า “กูทำสำหรับใส่ตัวกูเอง จะเป็นอัปมงคลทำไม” แล้วก็โปรดฯ ให้ยกพระโกศออกไป เจ้าจอมแว่น จึงเป็นคนโปรดที่แม้จะกราบบังคมทูลอย่างไรก็มักจะได้รับพระราชทานอภัยเสมอ
เจ้าจอมแว่นถึงแก่อนิจกรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ บำเพ็ญกุศลพระราชทานอย่างสมเกียรติคุณในฐานะข้าราชสำนักผู้ใหญ่ได้รับการเคารพยกย่องตลอดมา


